เปิดตำราวิธีทำโยเกิร์ตกินเองได้ที่บ้าน พร้อมเคล็ดลับมือโปร

Picture of Butterfly Organic

Butterfly Organic

สารบัญบทความ

เบื่อโยเกิร์ตสำเร็จรูปที่เต็มไปด้วยน้ำตาลและสารเติมแต่ง?  วิธีทำโยเกิร์ตโฮมเมด คือคำตอบ! บทความนี้จะเปิดเผยทุกขั้นตอนวิธีทำโยเกิร์ตอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็น วิธีทำโยเกิร์ตง่าย ๆ และวิธีทำโยเกิร์ตไม่ต้ม พร้อมเคล็ดลับจากมือโปร ให้คุณทำโยเกิร์ตกินเองได้อย่างสมบูรณ์แบบ ได้รสชาติถูกใจและดีต่อสุขภาพ

ทำไมโยเกิร์ตโฮมเมดถึงเป็นตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพ?

โยเกิร์ตเป็นอาหารสุขภาพยอดนิยม แต่โยเกิร์ตสำเร็จรูปอาจมีน้ำตาลสูง ไขมันมาก หรือโพรไบโอติกส์ไม่เพียงพอ ดังนั้นวิธีทำโยเกิร์ตกินเองที่บ้านจึงเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยม!

คุณสามารถควบคุมส่วนผสมได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นชนิดของนม (ไขมันต่ำ, ถั่วเหลือง), สารอาหาร (โปรตีน, โพรไบโอติกส์), และมั่นใจได้ว่าปราศจากสารปรุงแต่ง เช่น น้ำตาลหรือสี ทำให้ดีต่อสุขภาพกว่ามาก

ข้อดีของวิธีทำโยเกิร์ตเอง

  • สดใหม่และดีต่อสุขภาพ ควบคุมวัตถุดิบได้เต็มที่ ไร้สารกันบูดและน้ำตาลส่วนเกิน
  • ประหยัด ช่วยลดค่าใช้จ่ายในระยะยาว
  • ปรับแต่งได้ตามใจชอบ ทำโยเกิร์ตรสธรรมชาติ โยเกิร์ตผลไม้ หรือแม้แต่วิธีทำโยเกิร์ตกรีก
  • ควบคุมโพรไบโอติก ได้รับแบคทีเรียดีมีชีวิต ที่มีประโยชน์ต่อระบบย่อยอาหาร
  • เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ลดการใช้บรรจุภัณฑ์พลาสติก

สำหรับผู้ใส่ใจสุขภาพที่มองหานมคุณภาพเยี่ยมเพื่อทำโยเกิร์ตโฮมเมดที่ดีที่สุด บัตเตอร์ฟลาย ออร์แกนิค คือตัวเลือกที่คุณวางใจได้ พวกเขาเป็นฟาร์มออร์แกนิกแห่งเดียวในอาเซียนที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน USDA ผลิตนมและโยเกิร์ตออร์แกนิก 100% จากแม่วัวที่เลี้ยงด้วยหญ้าตามธรรมชาติ ในระบบฟาร์มปราศจากสารเคมี ทำให้ได้น้ำนมคุณภาพสูง สะอาด ปลอดภัย และไร้ฮอร์โมนหรือยาปฏิชีวนะ คุณจึงมั่นใจในความบริสุทธิ์ของทุกส่วนประกอบได้เลย

ส่วนผสมที่จำเป็นในการทำโยเกิร์ตโฮมเมด

สำหรับโยเกิร์ตโฮมเมดโปรตีนสูงไขมันต่ำ คุณจะต้องเตรียม

  • นมพาสเจอร์ไรส์ไขมัน 0% 830 มล.
  • นมผงขาดมันเนย (Skim milk powder) 124 กรัม
  • เหตุผล ช่วยให้โยเกิร์ตเซ็ตตัวดีขึ้น เนื้อแน่น และชะลอความเปรี้ยว ทำให้ได้โยเกิร์ตโปรตีนสูงถึง 7.5 กรัม/100 กรัม อย่างไรก็ตาม วิตามินบางชนิดในนมผงอาจลดลง ควรเลือกยี่ห้อที่น่าเชื่อถือ
  • หัวเชื้อโยเกิร์ต
  • โยเกิร์ตธรรมชาติ เลือกแบบมีจุลินทรีย์มีชีวิต (Live Cultures) ไม่มีรสชาติ/น้ำตาล (ประมาณ 2 ช้อนโต๊ะ)
  • หัวเชื้อโยเกิร์ตแบบผง (Starter Culture) หาซื้อได้ง่าย ให้ผลลัพธ์สม่ำเสมอ

อุปกรณ์คู่ใจสำหรับโยเกิร์ตโฮมเมด

เพื่อให้การทำโยเกิร์ตเป็นไปอย่างราบรื่น คุณต้องเตรียมอุปกรณ์เหล่านี้

  • หม้อ สำหรับต้มและอุ่นนม (เลือกขนาดให้เหมาะกับปริมาณนม)
  • เทอร์โมมิเตอร์วัดอาหาร สำคัญมากสำหรับควบคุมอุณหภูมินมให้แม่นยำ เพื่อให้จุลินทรีย์ทำงานได้ดี
  • ภาชนะสำหรับหมักโยเกิร์ต โหลแก้วหรือเซรามิกมีฝาปิดสนิท (ควรลวกน้ำร้อนฆ่าเชื้อก่อนใช้)
  • ตะกร้อมือ หรือทัพพี สำหรับคนส่วนผสม
  • ผ้าขนหนูหนา ๆ หรือผ้าห่ม สำหรับห่อภาชนะหมักเพื่อรักษาอุณหภูมิ (หากทำโดยไม่ใช้เครื่อง)

ลงมือเลย! วิธีทำโยเกิร์ตโฮมเมดสูตรโปรตีนสูงแบบละเอียด

เพื่อให้ได้โยเกิร์ตโฮมเมดเนื้อเนียน โปรตีนสูง รสเปรี้ยวอ่อนปานกลาง ทำตามขั้นตอนเหล่านี้

1. การเตรียมและอุ่นนม

  • เทนมพาสเจอร์ไรส์ไขมัน 0% และนมผงขาดมันเนยลงในหม้อ คนให้เข้ากัน
  • นำขึ้นตั้งไฟอ่อน คนตลอดเวลา อุ่นที่ 85-90°C เป็นเวลา 15 นาที (ใช้เทอร์โมมิเตอร์) เพื่อฆ่าเชื้อและช่วยให้โปรตีนจับตัว ทำให้เนื้อโยเกิร์ตแน่นขึ้น เหมาะสำหรับกรีกโยเกิร์ต หากต้องการวิธีทำโยเกิร์ตไม่ต้มจะได้วิธีทำโยเกิร์ตที่ไม่เปรี้ยว หรือเปรี้ยวน้อยกว่า แต่อาจเหลวกว่า

2. พักนมให้เย็นและผสมหัวเชื้อ

  • ปิดไฟ นำนมลงจากเตา ปล่อยให้เย็นลงเหลือ 40-45°C
  • ตักนม 1 ถ้วยเล็ก ผสมกับหัวเชื้อโยเกิร์ต (2 ช้อนโต๊ะ หรือตามแนะนำ) คนให้ละลายดี (ห้ามใส่ตอนนมร้อนจัด)
  • เทกลับลงหม้อ คนเบา ๆ ให้เข้ากัน

3. การหมัก

  • เทส่วนผสมลงในภาชนะที่สะอาด ปิดฝา
  • หากไม่มีเครื่องทำโยเกิร์ต ให้ห่อภาชนะด้วยผ้าหนาๆ วางไว้ในที่อบอุ่น อุณหภูมิคงที่ เช่น ในเตาอบที่ปิดไฟ
  • บ่มไว้ประมาณ 18 ชั่วโมง เพื่อให้โยเกิร์ตเซ็ตตัวและได้รสชาติที่ต้องการ

เคล็ดลับมือโปรวิธีทำโยเกิร์ตง่ายๆ ให้สำเร็จทุกครั้ง!

อยากทำโยเกิร์ตโฮมเมดเนื้อเนียนนุ่ม อร่อยถูกใจ? นี่คือเคล็ดลับสำคัญที่ช่วยให้คุณเป็นมือโปร

การเตรียมและอุณหภูมิคือกุญแจสำคัญ

  • เน้นความสะอาด อุปกรณ์ทุกชิ้นที่สัมผัสนมและโยเกิร์ตต้องสะอาดและฆ่าเชื้อด้วยน้ำร้อนเสมอ เพื่อป้องกันแบคทีเรียที่ไม่ต้องการ
  • อุ่นนมให้ถูกวิธี ตั้งไฟอ่อน คนนมในหม้อ 10-15 นาที เพื่อไล่น้ำ ทำให้โยเกิร์ตข้นขึ้น ใช้นมไขมันเต็มจะรสชาติดีกว่า แต่ก็ใช้นมพร่องมันเนยได้ ใช้ภาชนะใหญ่ป้องกันนมล้น
  • ควบคุมอุณหภูมิให้แม่นยำ หลังต้ม ปล่อยนมให้เย็นลงเหลือ 40-45°C แล้วใช้เทอร์โมมิเตอร์วัด เพื่อให้จุลินทรีย์ทำงานได้ดี หากเย็นเกินไป ให้อุ่นใหม่ได้

เคล็ดลับในการเลือกและใช้หัวเชื้อ

  • เลือกหัวเชื้อที่เหมาะสม ใช้โยเกิร์ตธรรมชาติที่เพิ่งเปิดใหม่ๆ และมีจุลินทรีย์มีชีวิต (Live Cultures) จำนวนมาก
  • ปริมาณหัวเชื้อ สำหรับนม 3.5 ลิตร แนะนำ 2 ช้อนโต๊ะ หรือตามปริมาณที่เหมาะสม ผลลัพธ์เนื้อสัมผัสอาจแตกต่างกันไปตามชนิดและยี่ห้อของหัวเชื้อ

การหมักและดูแลระหว่างกระบวนการ

  • ห้ามขยับภาชนะระหว่างหมัก การขยับจะรบกวนการเซ็ตตัวของโยเกิร์ต
  • อุณหภูมิห้องสำคัญ หลังผสมหัวเชื้อ บ่มโยเกิร์ตในที่อบอุ่น อุณหภูมิคงที่ (เช่น ห่อผ้า หรือวางในกล่องโฟมใส่น้ำอุ่น 43°C) ประมาณ 12 ชั่วโมง
  • สังเกตผลลัพธ์หลังหมัก โยเกิร์ตจะมีกลิ่นหอม ลักษณะคล้ายเต้าหู้ หากยังเหลว ให้ปิดฝาแล้วนำไปแช่เย็น 1 คืน ก่อนทาน เพื่อให้เนื้อเซ็ตตัวแข็งเป็นก้อน

การจัดเก็บและปรับแต่งรสชาติ

  • การจัดเก็บ เก็บโยเกิร์ตโฮมเมดในตู้เย็นได้ประมาณ 1 สัปดาห์
  • ปรับรสหวาน สามารถเติมน้ำตาลได้ตามชอบหลังจากโยเกิร์ตเซ็ตตัวแล้ว

วิธีแก้ปัญหาที่พบบ่อย

  • โยเกิร์ตเหลว อาจเกิดจากอุณหภูมิไม่เหมาะสม หัวเชื้อไม่ทำงาน หรือหมักไม่นานพอ ลองเพิ่มเวลาหมัก หรือตรวจสอบอุณหภูมิ การใช้นมไขมันสูงขึ้นก็ช่วยให้ข้นขึ้น
  • โยเกิร์ตเปรี้ยวเกินไป หากต้องการวิธีทำโยเกิร์ตไม่เปรี้ยว ให้ลดเวลาหมัก หรือใช้หัวเชื้อน้อยลง เมื่อโยเกิร์ตแข็งตัวแล้ว ให้รีบนำเข้าตู้เย็นทันทีเพื่อหยุดการทำงานของแบคทีเรีย
  • โยเกิร์ตหนืด: อาจเป็นผลมาจากชนิดของจุลินทรีย์ในนมหรือหัวเชื้อที่ใช้
  • การทำโยเกิร์ตกรีก: หากต้องการวิธีทำโยเกิร์ตกรีกให้นำโยเกิร์ตไปกรองด้วยผ้าขาวบางในตู้เย็น 2-4 ชั่วโมง (หรือข้ามคืน) เพื่อให้น้ำเวย์ไหลออก จะได้เนื้อที่ข้นและเนียนขึ้น

จัดเก็บโยเกิร์ตโฮมเมดอย่างไรให้อยู่ได้นาน?

การจัดเก็บโยเกิร์ตโฮมเมดอย่างถูกวิธีจะช่วยคงความสดใหม่และคุณประโยชน์ไว้ได้นานขึ้น

วิธีการเก็บรักษา

  • เก็บในภาชนะมีฝาปิดสนิท เช่น กล่องสุญญากาศ หรือโหลแก้ว เพื่อป้องกันอากาศและความชื้น
  • ใช้ช้อนสะอาดและแห้งทุกครั้งที่ตัก เพื่อป้องกันการปนเปื้อน
  • หากตักโยเกิร์ตไปทานแล้วเหลือในถ้วยเล็กไม่ควรนำกลับไปรวมกับโยเกิร์ตในภาชนะหลัก

อายุการเก็บรักษา

  • ในตู้เย็น (ช่องธรรมดา) เก็บได้ประมาณ 1-2 สัปดาห์
  • ในช่องฟรี เก็บได้นานมากกว่า 1 เดือน (ไม่เกิน 2-3 เดือนเพื่อคุณภาพที่ดีที่สุด)

ข้อควรรู้เมื่อแช่แข็งโยเกิร์ต

เมื่อต้องการใช้โยเกิร์ตแช่แข็ง ควรย้ายไปไว้ในช่องแช่เย็นปกติล่วงหน้า 1 วัน เพื่อให้เนื้อสัมผัสกลับมาเหมือนเดิม

สร้างสรรค์เมนูอร่อย ไอเดียการนำโยเกิร์ตโฮมเมดไปใช้

โยเกิร์ตโฮมเมดของคุณทำอะไรได้มากกว่าเป็นของว่าง! ลองนำไปประยุกต์ใช้ในเมนูคาวหวานได้หลากหลาย

  • ทำกรีกโยเกิร์ต กรองน้ำเวย์ออก ได้กรีกโยเกิร์ตเนื้อเข้มข้น โปรตีนสูง หรือจะทำโยเกิร์ตสูตรดีทอกซ์ลำไส้ก็ได้
  • อาหารเช้า ทานกับกราโนล่า ผลไม้สด หรือน้ำผึ้ง เพื่อเริ่มต้นวันที่สดชื่น
  • สมูทตี้เพิ่มพลัง สำหรับสมูทตี้! ไม่ว่าจะเป็นวิธีทำโยเกิร์ตปั่นกับผลไม้รวมที่คุณชอบหรือวิธีทำโยเกิร์ตสมูทตี้ที่เน้นผักใบเขียว ช่วยเพิ่มความข้นและโพรไบโอติกส์
  • แทนซอสและมายองเนส ใช้ทำซอสสลัด หรือซอสสไตล์เมดิเตอร์เรเนียนอย่าง Tzatziki เพื่อสุขภาพที่ดีขึ้น
  • ขนมและเบเกอรี่ ใช้แทนเนยหรือนมในบางสูตร ช่วยให้ขนมนุ่ม ชุ่มชื้น และได้ประโยชน์
  • โยเกิร์ตผลไม้โฮมเมด ผสมกับผลไม้สดตามชอบ เช่น วิธีทำโยเกิร์ตสตรอเบอรี่ หรือวิธีทำโยเกิร์ตมะพร้าว เพื่อสร้างสรรค์รสชาติใหม่ ๆ

สรุป

การทำYogurtโฮมเมดง่ายกว่าที่คิดเยอะ! ไม่ว่าคุณจะอยากวิธีทำโยเกิร์ตสดขาย หรือแค่วิธีทำโยเกิร์ตผลไม้ไว้กินเองที่บ้าน บทความนี้มีครบทุกขั้นตอนและเคล็ดลับจากมือโปร

แค่ทำตามคำแนะนำ ตั้งแต่เลือกส่วนผสม เตรียมอุปกรณ์ ไปจนถึงการควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมสำหรับวิธีทำโยเกิร์ตด้วยเครื่อง หรือแม้แต่ วิธีทำโยเกิร์ตถั่วเหลือง คุณก็จะได้โยเกิร์ตสดใหม่ หอมอร่อย และดีต่อสุขภาพแน่นอน แถมยังปรับเป็นวิธีทำโยเกิร์ตพร้อมดื่มได้ง่าย ๆ ด้วย

ลองเอาไปทำตาม แล้วคุณจะติดใจโยเกิร์ตโฮมเมดแน่นอน!

คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับวิธีทำโยเกิร์ต 

วิธีทำโยเกิร์ตทำยังไง? 

โยเกิร์ตทำจากการอุ่นนมให้ได้อุณหภูมิที่เหมาะสม จากนั้นใส่หัวเชื้อจุลินทรีย์ดีแล้วนำไปบ่ม เพื่อให้จุลินทรีย์เปลี่ยนน้ำตาลในนมให้เป็นกรด ทำให้โยเกิร์ตมีรสเปรี้ยวและข้นขึ้น

ทำไมโยเกิร์ตโฮมเมดถึงเหลว? 

โยเกิร์ตที่ทำเองอาจเหลวได้จากหลายสาเหตุ เช่น อุณหภูมิในการบ่มไม่เหมาะสม (ร้อนหรือเย็นเกินไป), หัวเชื้อโยเกิร์ตมีจุลินทรีย์ไม่พอหรือไม่ทำงาน, บ่มไม่นานพอ หรือนมที่ใช้มีไขมันต่ำเกินไป

ควรบ่มโยเกิร์ตกี่ชั่วโมง? 

โดยทั่วไป โยเกิร์ตควรบ่มประมาณ 6-12 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและความข้นเปรี้ยวที่คุณต้องการ ยิ่งบ่มนาน โยเกิร์ตจะยิ่งเปรี้ยวและข้นขึ้น หากอยากได้รสไม่เปรี้ยวมาก ให้ลดระยะเวลาบ่มลง

โยเกิร์ตไม่ควรกินกับอะไร? 

โดยทั่วไปแล้วโยเกิร์ตสามารถกินกับอาหารได้หลากหลาย ไม่มีข้อห้ามที่อันตราย แต่บางคนอาจเลี่ยงการกินโยเกิร์ตพร้อมกับอาหารที่มีฤทธิ์เย็นจัด หรืออาหารที่ย่อยยากในปริมาณมาก

เลือกโยเกิร์ตยี่ห้อไหนดีสำหรับการลดน้ำหนัก? 

เลือกโยเกิร์ตธรรมชาติที่ไม่มีน้ำตาลเพิ่ม มีไขมันต่ำหรือปราศจากไขมัน และมีโพรไบโอติกส์สูง โยเกิร์ตโฮมเมดเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะคุณควบคุมส่วนผสมได้ทั้งหมด

บทความล่าสุด

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ Privacy Policy และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า