สิ่งมีชีวิตที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่าอย่างจุลินทรีย์ มีอยู่แทบจะทั่วไปรวมถึงในอาหารที่เรากินเข้าไปด้วย แต่อย่าเพิ่งตกใจไป แม้ชื่อจะดูเหมือนเชื้ออะไรสักอย่าง แต่ที่จริงแล้วจุลินทรีย์ไม่ได้มีแต่โทษ แต่บางชนิดกลับมีประโยชน์และคุณค่าต่ออาหาร อยู่ที่ว่าเราจะได้รับจุลินทรีย์ตัวไหนเข้าไป วันนี้ Butterfly Organic จะพาคุณไปรู้จักโลกเล็กๆ ของสิ่งมีชีวิตขนาดจิ๋วนี้ให้มากขึ้น เพราะแม้เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แต่จุลินทรีย์มีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพและคุณภาพของอาหารอย่างมาก
จุลินทรีย์ในอาหารคืออะไร

จุลินทรีย์ในอาหาร คือสิ่งมีชีวิตที่มีขนาดเล็กมาก จนไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ได้แก่ แบคทีเรีย ยีสต์ รา ไวรัส และโปรโตซัว อาจพบได้ในอาหารเกือบทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็นอาหารสด อาหารแปรรูป หรืออาหารที่ปรุงสุกแล้ว แบ่งได้เป็น 3 กลุ่มหลัก
1. จุลินทรีย์ในอาหารที่เป็นประโยชน์
เช่น แลกโตบาซิลลัส (Lactobacillus) ที่ใช้ในYogurt จุลินทรีย์เหล่านี้มีบทบาทในการหมัก ช่วยย่อยอาหาร และส่งเสริมสุขภาพทางเดินอาหาร
2. จุลินทรีย์ในอาหารที่ไม่ก่อให้เกิดโรค
เป็นกลุ่มที่ทำให้อาหารเน่าเสีย หรือมีกลิ่นเหม็น เช่น ราชนิดต่าง ๆ แม้ไม่ทำให้เกิดโรคโดยตรง แต่ทำให้คุณภาพอาหารลดลงจนไม่ควรบริโภค
3. จุลินทรีย์ในอาหารที่ก่อโรค
เช่น แบคทีเรีย ซาลโมเนลลา (Salmonella) หรือ อีโคไล (E. coli) ที่สามารถทำให้เกิดอาหารเป็นพิษและโรคในระบบทางเดินอาหารได้
ประโยชน์และโทษของจุลินทรีย์ในอาหาร
- ประโยชน์ของจุลินทรีย์ในอาหาร: จุลินทรีย์บางชนิดมีบทบาทสำคัญในการแปรรูปอาหาร นอกจากนี้ยังมีจุลินทรีย์กลุ่มโพรไบโอติกส์ ที่ช่วยปรับสมดุลจุลชีพในลำไส้ ส่งเสริมระบบย่อยอาหาร เสริมภูมิคุ้มกัน
- โทษของจุลินทรีย์ในอาหาร: จุลินทรีย์บางชนิดเป็นสาเหตุของการปนเปื้อนในอาหารและก่อให้เกิดโรค เชื้อราบางชนิดผลิตสารที่อาจก่อมะเร็งหากบริโภคสะสม
จุลินทรีย์มีอะไรบ้าง จุลินทรีย์มีบทบาทในอาหารอย่างไร

แบคทีเรีย (Bacteria)
เป็นหนึ่งในจุลินทรีย์ที่พบมากที่สุดในอาหาร แบ่งได้ทั้งชนิดที่เป็นประโยชน์และก่อโรค แบคทีเรียที่ดี เช่น Lactobacillus spp. ใช้ในการหมักโยเกิร์ต นมเปรี้ยว และผักดอง แบคทีเรียก่อโรค เช่น Salmonella. พบในอาหารดิบ เช่น ไข่ดิบหรือไก่ดิบ
ยีสต์ (Yeast)
มีบทบาทสำคัญในการหมักและผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ใช้ในอาหาร เช่น Saccharomyces cerevisiae. ยีสต์ทำขนมปังและเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยีสต์ที่ทำให้อาหารเสีย เช่น Candida spp. ทำให้เกิดกลิ่นผิดปกติในน้ำผลไม้หรือเครื่องดื่ม
รา (Mold)
ราสามารถเติบโตได้ดีในอาหารที่มีความชื้น เช่น ขนมปัง ผลไม้ หรือเนยแข็ง ราที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหาร เช่น Penicillium roqueforti ใช้ทำชีสบลูชีส ราที่ก่ออันตราย เช่น Aspergillus flavus ผลิตสารอะฟลาทอกซิน ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย
ไวรัส (Viruses)
แม้ไวรัสจะไม่สามารถเจริญเติบโตในอาหารโดยตรง แต่สามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการบริโภคอาหารที่ปนเปื้อนได้
โปรโตซัว (Protozoa)
จัดว่าเป็นหนึ่งในกลุ่มจุลินทรีย์ที่สามารถพบในอาหารและน้ำได้ แม้จะไม่ได้พบบ่อยเท่าจุลินทรีย์ในอาหารประเภทอื่น ๆ แต่บางชนิดก็ก่อโรคได้รุนแรง โดยเฉพาะโรคในระบบทางเดินอาหาร
6 ปัจจัยที่ส่งผลต่อการเติบโตของจุลินทรีย์ในอาหาร

อุณหภูมิ (Temperature)
จุลินทรีย์แต่ละชนิดมีช่วงอุณหภูมิที่เหมาะสมในการเจริญเติบโต เช่น จุลินทรีย์ก่อโรคหลายชนิดเติบโตได้ดีที่อุณหภูมิร่างกาย คือ ประมาณ 35–37°C
ความชื้นและปริมาณน้ำในอาหาร (Water Activity)
จุลินทรีย์ต้องการน้ำในการดำรงชีวิต อาหารที่มีน้ำสูง เช่น เนื้อสัตว์สด นม หรือผลไม้ จึงเสี่ยงต่อการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์มากกว่าอาหารแห้ง
ค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH)
จุลินทรีย์มีความสามารถในการเติบโตที่ต่างกันตามค่า pH โดยส่วนใหญ่เติบโตได้ดีในช่วง pH 4.5–7.5
ออกซิเจน (Oxygen)
จุลินทรีย์บางชนิดต้องการออกซิเจน เช่น ราบางชนิด
สารอาหารในอาหาร (Nutrients)
อาหารที่อุดมด้วยโปรตีน ไขมัน หรือคาร์โบไฮเดรต มักเป็นแหล่งเจริญเติบโตที่ดีของจุลินทรีย์ เช่น เนื้อ นม และไข่
เวลา (Time)
เมื่อเงื่อนไขที่ว่ามาเหมาะสม จุลินทรีย์จะเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วในเวลาอันสั้น บางชนิดแบ่งตัวได้ภายใน 20–30 นาที ทำให้อาหารเสี่ยงเสียหรือเป็นอันตรายหากเก็บไว้นาน โดยไม่แช่เย็นหรือไม่ผ่านการถนอมอาหาร
อาการจุลินทรีย์ไม่สมดุลกับร่างกาย วิธีเช็คตัวเองง่าย ๆ
– มีอาการท้องอืด แน่นท้อง หรือท้องผูกสลับกับท้องเสีย
– ภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ติดเชื้อง่าย
– ผิวหนังมีปัญหา เช่น สิว ผื่น แพ้ง่าย
– มีกลิ่นปากหรือกลิ่นตัวผิดปกติ
– น้ำหนักเพิ่มหรือลดผิดปกติ
– อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด มีอาการซึมเศร้า

หากมีอาการเหล่านี้บ่อยครั้ง อาจเป็นสัญญาณของจุลินทรีย์ในร่างกายไม่สมดุล การปรับสมดุลด้วยการกินอาหารที่มีโพรไบโอติกส์ พรีไบโอติกส์ และดูแลสุขภาพลำไส้ จึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่ควรให้ความสำคัญ อาหารที่มีจุลินทรีย์ ที่ Butterfly Organic เช่น โยเกิร์ตพร้อมดื่มผสมฟิกและอินทผลัม ออร์แกนิค กรีก โยเกิร์ต
4 วิธีป้องกันจุลินทรีย์ปนเปื้อนในอาหาร สิ่งที่ควรทำเพื่อความปลอดภัย
1. รักษาความสะอาด
การรักษาความสะอาดเป็นสุขอนามัยที่ดีด่านแรกในการป้องกันจุลินทรีย์ วิธีที่ควรทำ เช่น ล้างมือให้สะอาด ทำความสะอาดพื้นผิวและอุปกรณ์ทำอาหาร ล้างผักและผลไม้
2. แยกอาหารดิบและอาหารสุก
เช่น ใช้เขียงและมีดแยกกัน สำหรับเนื้อสัตว์ดิบและผักผลไม้

3. ปรุงอาหารให้สุกทั่วถึง
การปรุงอาหารด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสมจะช่วยฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่เป็นอันตราย
4. เก็บอาหารในอุณหภูมิที่เหมาะสม
การเก็บอาหารในอุณหภูมิที่ถูกต้องจะช่วยชะลอการเจริญเติบโตของจุลินทรีย์ เช่น ไม่เก็บอาหารไว้นานเกินไป
3 ข้อควรระวัง! กินอาหารที่มีจุลินทรีย์อย่างไรให้ปลอดภัยและได้ประโยชน์สูงสุด
อาหารที่มีจุลินทรีย์ดีหรือโพรไบโอติกส์นั้นมีประโยชน์ต่อสุขภาพลำไส้และภูมิคุ้มกัน แต่ก็มีข้อควรระวังที่คุณควรรู้

1. อาการเริ่มต้นจากแก๊สและท้องอืด
เมื่อเริ่มต้นกินอาหารที่มีโพรไบโอติก อาจรู้สึกมีแก๊สในกระเพาะอาหาร ท้องอืด หรือท้องเสียเล็กน้อยในช่วงแรก แนะนำให้เริ่มจากปริมาณน้อยๆ ก่อน
2. ความเสี่ยงในคนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง
ผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เช่น ผู้ป่วยมะเร็งที่กำลังทำเคมีบำบัด ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานอาหารที่มีจุลินทรีย์
3. การเลือกผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ควรเลือกจากแบรนด์ที่น่าเชื่อถือ และมีปริมาณจุลินทรีย์ที่เหมาะสม ควรตรวจสอบวันหมดอายุและการเก็บรักษา
จุลินทรีย์ในอาหาร เลือกบริโภคให้ถูก มีประโยชน์ ดีต่อสุขภาพ
จุลินทรีย์ในอาหารมีทั้งประโยชน์และโทษ ขึ้นอยู่กับชนิดและการควบคุมการเจริญเติบโตอย่างเหมาะสม จุลินทรีย์บางตัวมีประโยชน์ เช่น ช่วยในการหมักอาหาร ทำให้เกิดรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัว จุลินทรีย์บางชนิดให้โทษ เช่น แบคทีเรียก่อโรคหรือเชื้อราที่สร้างสารพิษ ดังนั้น การเลือกบริโภคอาหารที่สะอาด และผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานจึงสำคัญมาก
Butterfly Organic ให้ความสำคัญกับการเลือกใช้วัตถุดิบและกระบวนการผลิตที่สะอาด ปลอดภัย และคงคุณค่าของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ เพื่อให้คุณมั่นใจได้ว่า ทุกคำที่ทานเข้าไปคือการดูแลสุขภาพจากภายใน พร้อมรสชาติที่อร่อยและเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง
FAQ
จุลินทรีย์ในอาหารคือสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กมากที่เรามองไม่เห็นด้วยตาเปล่า สามารถพบได้ทั่วไปในอาหารทุกชนิด บางชนิดมีประโยชน์ต่อร่างกาย บางชนิดเป็นอันตราย
ประโยชน์คือช่วยในกระบวนการหมักอาหาร เพิ่มรสชาติ และผลิตสารอาหาร ส่วนโทษคือทำให้ อาหารเน่าเสีย มีรสชาติหรือกลิ่นผิดปกติ และที่สำคัญคืออาจก่อให้เกิดโรคอาหารเป็นพิษได้
จุลินทรีย์ในอาหารหลัก ๆ จะมี แบคทีเรีย ยีสต์ และ รา นอกจากนี้ยังมีไวรัสและโปรโตซัวบางชนิดที่อาจปนเปื้อนในอาหารได้
บทบาทเชิงบวกคือการแปรรูปอาหารผ่านการหมัก ช่วยสร้างรสชาติ กลิ่น และยืดอายุการเก็บรักษา ส่วนบทบาทเชิงลบคือการ ทำให้อาหารเน่าเสีย ลดคุณภาพ และก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค