วิธีทำกรีกโยเกิร์ต ไม่ต้ม อุปกรณ์น้อย อร่อยง่าย ได้สุขภาพ

Picture of Editor

Editor

สารบัญบทความ

เบื่อไหมกับขั้นตอนทำโยเกิร์ตที่ยุ่งยาก ต้องต้มนม วัดอุณหภูมิ ใช้อุปกรณ์มากมาย แล้วถ้าบอกว่าคุณสามารถทําโยเกิร์ต แบบไม่ต้มง่ายๆ ที่บ้านได้ โดยใช้อุปกรณ์เพียงไม่กี่ชิ้น แถมยังได้กรีกโยเกิร์ตเนื้อข้นหนืด ไม่เปรี้ยวจัด และดีต่อสุขภาพล่ะ บทความนี้จะพาคุณไปดูขั้นตอน พร้อมเคล็ดลับแบบไม่กั๊ก สำหรับใครที่มองหาวิธีทํากรีกโยเกิร์ต ไม่ต้มกันอยู่ 

ทำไมต้องลองวิธีทํากรีกโยเกิร์ต ไม่ต้ม?

การทำโยเกิร์ตเองไม่เพียงแค่ช่วยประหยัดเงิน แต่ยังให้คุณควบคุมคุณภาพและส่วนผสมได้เอง โดยเฉพาะวิธีทําโยเกิร์ต ไม่ต้มที่เหมาะกับทุกคน ไม่ว่าจะอยู่คอนโด ไม่มีเตา หรือไม่มีเวลาว่างมาก ข้อดีของการทำโยเกิร์ตแบบนี้คือไม่ต้องต้มนม ไม่ต้องใช้เตาแก๊ส ประหยัดเวลาและพลังงาน ที่สำคัญไม่มีสารกันเสีย ได้ทานโยเกิร์ตไม่มีน้ำตาล หรือสารปรุงแต่งเกินจำเป็น เหมาะกับผู้สูงอายุ สายเฮลท์ตี้ และคนทำงานที่ไม่มีเวลา 

ส่วนผสมหลักสำหรับวิธีทํากรีกโยเกิร์ต ไม่ต้ม

ในการทำโยเกิร์ตแบบไม่ต้ม ส่วนผสมมีเพียงไม่กี่อย่าง แต่ต้องเลือกอย่างใส่ใจ เริ่มจากนมพาสเจอร์ไรส์รสจืดที่มีไขมันเต็ม หรือที่เรียกว่า Whole Milk จะช่วยให้เนื้อโยเกิร์ตข้นหนืดและนุ่มเนียนมากขึ้น หลีกเลี่ยงนมไขมันต่ำหรือนม UHT เพราะอาจทำให้เนื้อไม่ข้นเท่าที่ควร

หัวเชื้อโยเกิร์ตควรเลือกชนิดธรรมชาติที่มีจุลินทรีย์มีชีวิต เช่น L. bulgaricus หรือ S. thermophilus และต้องไม่ใส่น้ำตาลหรือแต่งรส เพราะอาจไปรบกวนกระบวนการหมัก อัตราส่วนที่เหมาะสมคือใช้นมพาสเจอร์ไรส์ 1 ลิตร ต่อโยเกิร์ตหัวเชื้อ 2 ช้อนโต๊ะ ก็เพียงพอแล้วสำหรับการเริ่มต้น

อุปกรณ์ที่จำเป็นในการทำกรีกโยเกิร์ตแบบไม่ต้ม

สิ่งที่ทำให้วิธีนี้เหมาะสำหรับทุกบ้านคือการใช้อุปกรณ์น้อยมาก ไม่จำเป็นต้องมีหม้อ เตา หรือเครื่องวัดอุณหภูมิใด ๆ คุณเพียงเตรียมโหลแก้วหรือกล่องพลาสติกสะอาดที่มีฝาปิด ช้อนสะอาดสำหรับคนส่วนผสม ผ้าขาวบางหรือกระชอนสำหรับกรอง และสุดท้ายคือตู้เย็นหรือวางไว้ในอุณหภูมิห้องที่เหมาะสม (ประมาณ 28-30 องศาเซลเซียส) เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว

วิธีทํากรีกโยเกิร์ต ไม่ต้ม: สูตรละเอียดทีละขั้นตอน

เริ่มจากเตรียมนมพาสเจอร์ไรส์เทลงในภาชนะที่สะอาด ตักโยเกิร์ตหัวเชื้อ 2 ช้อนโต๊ะใส่ลงไป แล้วใช้ช้อนคนเบา ๆ ให้เข้ากัน จากนั้นปิดฝาภาชนะให้สนิทแล้ววางไว้ในอุณหภูมิห้อง โดยอย่าขยับหรือรบกวนภาชนะระหว่างหมัก ปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 8-12 ชั่วโมง หรือจนเห็นว่าโยเกิร์ตข้นและตั้งตัวได้

เมื่อโยเกิร์ตหมักเสร็จแล้ว ให้เทลงบนผ้าขาวบางที่วางอยู่บนกระชอน เพื่อกรองน้ำหางโยเกิร์ตออก คุณสามารถกรองได้ตามระดับความข้นที่ต้องการ โดยปกติใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง เมื่อเสร็จแล้วให้ตักโยเกิร์ตที่ได้ใส่ภาชนะปิดฝาและเก็บในตู้เย็น พร้อมทานได้เลย

เคล็ดลับสำคัญเพื่อให้ได้กรีกโยเกิร์ตข้นเนียน (แบบไม่ต้ม)

เคล็ดลับในการทำกรีกโยเกิร์ตแบบไม่ต้มนั้น อยู่ที่ความละเอียดในแต่ละขั้นตอน ซึ่งไม่จำเป็นต้องใช้อุปกรณ์เยอะ แต่ต้องใส่ใจตั้งแต่วัตถุดิบจนถึงวิธีการหมัก เพื่อให้ได้เนื้อโยเกิร์ตที่ข้นเนียน รสชาติดี และมีจุลินทรีย์ดีพร้อมดูแลลำไส้

เลือกนมให้เหมาะ ยิ่งมัน ยิ่งข้น

นมที่เหมาะกับการทำโยเกิร์ตแบบไม่ต้มคือ นมโคเต็มมันเนย (Full-Fat Milk) เพราะมีไขมันธรรมชาติสูง ช่วยให้เนื้อโยเกิร์ตที่ได้มีความข้นและเนียน หากใช้แบบพร่องมันเนยหรือไขมันต่ำ อาจได้เนื้อโยเกิร์ตที่เหลวกว่า

หัวเชื้อโยเกิร์ตต้องสด มีจุลินทรีย์มีชีวิต

เลือกใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติที่มี จุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิต (Live Active Cultures) โดยสังเกตจากฉลาก หลีกเลี่ยงโยเกิร์ตที่มีน้ำตาลหรือแต่งรส เพราะอาจรบกวนกระบวนการหมัก หากเป็นไปได้ ใช้โยเกิร์ตที่เพิ่งเปิดใหม่จะดีที่สุด

อุณหภูมิห้องต้องเหมาะสมปัจจัยสำคัญที่หลายคนมองข้าม

การหมักโยเกิร์ตแบบไม่ต้มจะเกิดขึ้นได้ดีใน อุณหภูมิห้องปกติ (ประมาณ 25–30°C) หากอุณหภูมิเย็นเกินไป จุลินทรีย์จะทำงานช้าหรือไม่ทำงานเลย ทำให้โยเกิร์ตไม่เซ็ตตัว ควรเลือกวางในที่อุ่น เช่น ห้องครัวหรือในกล่องโฟม

เวลาและการกรอง อยากให้ข้นต้องใจเย็น

หลังจากหมักโยเกิร์ตจนเซ็ตตัวแล้ว (ใช้เวลาประมาณ 8–12 ชั่วโมง) ให้นำมากรองด้วยผ้าขาวบางหรือถุงกรองกาแฟประมาณ 2–6 ชั่วโมง เพื่อแยกน้ำเวย์ออก ยิ่งกรองนาน เนื้อจะยิ่งข้น แต่ไม่ควรเกิน 6 ชั่วโมง เพราะอาจทำให้เนื้อแห้งเกินไป

ห้ามขยับภาชนะระหว่างหมัก

อย่าเขย่า หรือขยับภาชนะระหว่างการหมักเด็ดขาด เพราะจะรบกวนการทำงานของจุลินทรีย์และทำให้โยเกิร์ตไม่เซ็ตตัว หรือเนื้อไม่เนียน หากต้องการได้ผลลัพธ์ดี ควรวางทิ้งไว้ในที่นิ่งๆ ตลอดช่วงเวลาหมัก

การเลือกนมและหัวเชื้อที่เหมาะสมสำหรับวิธีนี้

การเลือกนมและหัวเชื้อที่ดีเป็นปัจจัยสำคัญที่จะทำให้โยเกิร์ตออกมาสมบูรณ์แบบ นมวัว โดยเฉพาะนมพาสเจอร์ไรส์แบบไขมันเต็ม จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ถ้าจะใช้นมพืช เช่น นมอัลมอนด์หรือนมถั่วเหลือง ก็สามารถทำได้ แต่เนื้อที่ได้อาจไม่ข้นเท่า ต้องใช้เทคนิคเสริม เช่น เติมเจลาตินธรรมชาติ

สำหรับหัวเชื้อ ควรเลือกโยเกิร์ตรสธรรมชาติที่มีจุลินทรีย์มีชีวิต ไม่มีการเติมน้ำตาลหรือกลิ่นรสต่างๆ หลีกเลี่ยงการใช้โยเกิร์ตใกล้หมดอายุ หรือนมที่ผ่านการฆ่าเชื้อแบบ UHT เพราะอาจส่งผลต่อกระบวนการหมัก ตัวอย่างหัวเชื้อที่หาได้ทั่วไป หรือโยเกิร์ตออร์แกนิคจากแหล่งที่เชื่อถือได้

การจัดเก็บและนำกรีกโยเกิร์ตโฮมเมดไปใช้ประโยชน์

เมื่อทำเสร็จแล้ว ควรเก็บโยเกิร์ตไว้ในกล่องที่ปิดฝาแน่นในตู้เย็น โดยสามารถเก็บได้ประมาณ 5-7 วัน ควรหลีกเลี่ยงการเปิดฝาบ่อยๆ และไม่ควรเก็บในช่องแช่แข็ง เพราะอาจทำให้เนื้อโยเกิร์ตแยกชั้นได้

สำหรับการนำไปใช้คุณสามารถกินโยเกิร์ตกับผลไม้สด เช่น กล้วย แอปเปิ้ล หรือเบอร์รี่ต่างๆ เติมธัญพืช เมล็ดเจีย หรือข้าวโอ๊ตก็อร่อย หรือลองราดน้ำผึ้ง หรือน้ำเชื่อมจากดอกมะพร้าวลงไปเล็กน้อยเพื่อเพิ่มรสชาติ หากเบื่อแบบเดิมๆ ลองใส่ในสมูทตี้ หรือใช้แทนมายองเนสในแซนด์วิชก็เป็นทางเลือกที่ดีต่อสุขภาพเช่นกัน 

ข้อควรระวังและปัญหาที่อาจพบเจอ

แม้ว่าการทำโยเกิร์ตแบบไม่ต้มจะง่าย แต่ก็อาจเกิดปัญหาได้บ้าง เช่น เนื้อไม่ข้น หรือน้ำแยกชั้น ซึ่งมักเกิดจากหัวเชื้อที่ไม่แข็งแรง หรืออุณหภูมิในการหมักต่ำเกินไป หากโยเกิร์ตมีกลิ่นแปลก หรือเปรี้ยวผิดปกติ ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานทันที เพราะอาจเกิดการปนเปื้อนจากภาชนะที่ไม่สะอาด

การรักษาความสะอาดของภาชนะทุกชิ้นจึงเป็นเรื่องสำคัญมาก หากไม่มั่นใจว่าภาชนะสะอาดเพียงพอ ให้ล้างและตากให้แห้งสนิทก่อนใช้งาน และเมื่อทำครั้งแรกไม่สำเร็จ อย่าเพิ่งท้อ ลองปรับเปลี่ยนส่วนผสมหรือหัวเชื้อใหม่ แล้วทำซ้ำอีกครั้งจนกว่าจะได้ผลลัพธ์ที่พอใจ

สรุป

วิธีทํากรีกโยเกิร์ต ไม่ต้มคือ ทางเลือกใหม่ของคนรักสุขภาพที่ไม่อยากยุ่งยากกับขั้นตอนการต้ม หรือใช้อุปกรณ์มากมาย แค่มีนมดีๆ หัวเชื้อคุณภาพ และภาชนะสะอาด ก็สามารถทำกรีกโยเกิร์ตข้นหนืดแบบไม่เปรี้ยวได้เองที่บ้านในไม่กี่ชั่วโมง ไม่เพียงแค่ดีต่อสุขภาพ แต่ยังช่วยให้คุณประหยัดและมั่นใจในสิ่งที่คุณกิน ฉะนั้นอย่าลืมเลือกวัตถุดิบจากแหล่งที่เชื่อถือได้ เช่น นมออร์แกนิกและโยเกิร์ตธรรมชาติ จาก 蝴蝶有机 

คำถามที่พบบ่อย (FAQs)

ทำกรีกโยเกิร์ต ใช้โยเกิร์ตอะไรได้บ้าง?

สามารถใช้โยเกิร์ตรสธรรมชาติ (Plain Yogurt) ที่มีคำว่า “มีจุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิต” หรือ “Live Cultures” ระบุไว้บนฉลาก จะเป็นแบบโฮมเมดหรือยี่ห้อในซูเปอร์มาร์เก็ตก็ได้ ขอแค่ไม่เป็นแบบปรุงแต่งรสชาติหรือใส่น้ำตาล

หัวเชื้อโยเกิร์ตที่ใช้ ควรเป็นแบบไหนสำหรับวิธีนี้?

ควรเลือกหัวเชื้อโยเกิร์ตที่ เนื้อข้น ไม่แยกชั้น และมี จุลินทรีย์ที่ยังมีชีวิต (Live Active Cultures) โดยเลือกแบบที่ไม่มีสารกันเสียหรือวัตถุกันเสีย เพื่อให้การหมักเกิดขึ้นได้ดีและได้เนื้อโยเกิร์ตที่ข้นเนียน

ทำกรีกโยเกิร์ตแบบไม่ต้มแล้ว เนื้อจะข้นเหมือนวิธีต้มไหม?

เนื้อโยเกิร์ตที่ได้จากการทำแบบไม่ต้ม สามารถข้นได้พอๆ กับแบบต้มเช่นกัน หากเลือกใช้นมคุณภาพดีและกรองน้ำเวย์ออกด้วยผ้าขาวบางหลังการหมัก แต่ความข้นอาจแตกต่างกันเล็กน้อย ขึ้นอยู่กับปัจจัย เช่น อุณหภูมิ ความสดของนม และชนิดของหัวเชื้อ

อุณหภูมิห้องมีผลต่อการทำกรีกโยเกิร์ตแบบไม่ต้มหรือไม่?

มีผลโดยตรง โดยอุณหภูมิที่เหมาะสมในการหมักโยเกิร์ตคือ ประมาณ 30 – 45 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิห้องต่ำเกินไป โยเกิร์ตอาจไม่จับตัว หรือหมักไม่สำเร็จ ควรเลือกวางในที่อุ่น เช่น ในกล่องโฟม/เตาอบที่ปิดไฟ หรือห่อด้วยผ้าห่มไว้

ใช้เวลานานเท่าไหร่ในการทำกรีกโยเกิร์ตแบบไม่ต้มให้สำเร็จ?

ระยะเวลาในการหมักอยู่ที่ประมาณ 8 – 12 ชั่วโมง หรือบางสูตรอาจใช้ถึง 24 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับอุณหภูมิแวดล้อม ยิ่งอุณหภูมิคงที่และอยู่ในช่วงที่เหมาะสม ก็ยิ่งทำให้โยเกิร์ตเซ็ตตัวได้เร็วและเนียนขึ้น

บทความล่าสุด

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ 隱私政策 และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า