Category: โยเกิร์ต

นมอัลมอนด์ น้ำนมทางเลือกสำหรับสายรักสุขภาพที่กำลังเป็นที่นิยมในปัจจุบัน สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า อัลมอนด์ เป็นธัญพืชอันดับต้นๆ ที่อุดมไปด้วยคุณประโยชน์จากแร่ธาตุที่ดีต่อร่างกาย แถมยังเหมาะกับผู้ที่มีอาการแพ้นมวัวและอยู่ในช่วงการลดน้ำหนักอีกด้วย อย่างไรก็ดีเชื่อว่าในเวลาที่ผ่านมาหลายคนได้ยินประโยชน์ของนมจากอัลมอนด์มามากมาย แต่เคยสงสัยบ้างไหมว่านมชนิดนี้มีผลเสียอะไรบ้างหากเรารับประทานผิดวิธีหรือดื่มนมธัญพืชชนิดนี้ที่ไม่มีมาตรฐาน ในบทความนี้เราจึงจะมาดูกันว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นมีอะไรบ้าง
กำลังมองหาตัวช่วยเพิ่มความอร่อยให้กับสลัดจานโปรด โดยไม่ต้องกังวลเรื่องแคลอรีและไขมันอยู่ใช่ไหม? น้ำสลัดโยเกิร์ตคือคำตอบ! บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ น้ําสลัดโยเกิร์ต สูตรที่ไม่เพียงอร่อยและเบาสบายท้อง แต่ยังดีต่อสุขภาพและช่วยในการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย เราจะแนะนำตั้งแต่ประโยชน์ที่คุณอาจไม่เคยรู้ พร้อมน้ําสลัดโยเกิร์ต วิธีทําง่าย ๆ ด้วยตัวเองที่บ้าน รวมถึงเคล็ดลับการเลือกซื้อน้ำสลัดโยเกิร์ตสำเร็จรูปคุณภาพดี พร้อมแล้ว มาทำให้มื้อสลัดของคุณพิเศษยิ่งขึ้นไปด้วยกัน! น้ำสลัดโยเกิร์ตคืออะไร? ทางเลือกอร่อยเบา ๆ ที่สายเฮลตี้ห้ามพลาด! น้ำสลัดโยเกิร์ต คือน้ำสลัดที่ใช้โยเกิร์ตเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้มีโปรตีนสูงและแคลอรีต่ำกว่าน้ำสลัดทั่วไป เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักและใส่ใจสุขภาพ คุณสามารถใช้ได้ทั้งโยเกิร์ตธรรมชาติหรือ กรีกโยเกิร์ตทำน้ำสลัด เพื่อให้ได้เนื้อสัมผัสที่แตกต่างกัน ทำไมต้องเลือกน้ำสลัดโยเกิร์ต? 3 ข้อดีที่คุณต้องรู้! น้ำสลัดโยเกิร์ตเป็นทางเลือกที่ยอดเยี่ยมด้วย 3 เหตุผลหลัก ทำง่าย ไม่ยุ่งยาก เพียงแค่ใช้โยเกิร์ตสำเร็จรูป ก็สามารถทำน้ำสลัดได้ง่ายและรวดเร็ว ไม่ต้องกังวลเรื่องการตีไข่แดง หมดปัญหาเรื่องกลิ่นคาว เนื่องจากไม่ใช้ไข่ไก่ จึงไม่มีปัญหากลิ่นคาวมากวนใจ ทำให้น้ำสลัดมีรสชาติหอมอร่อยอย่างแท้จริง ได้ประโยชน์เต็ม ๆ จากโยเกิร์ต คุณจะได้รับคุณค่าทางโภชนาการจากโยเกิร์ตโดยตรง เช่น แคลอรีต่ำและไขมันน้อย หากถามว่าปกติน้ำสลัดโยเกิร์ตกี่แคล โดยทั่วไปจะมีปริมาณแคลอรีและไขมันที่ต่ำกว่าน้ำสลัดครีมทั่วไปมาก ดีต่อระบบขับถ่าย อุดมไปด้วยโพรไบโอติกส์ ช่วยปรับสมดุลลำไส้ โปรตีนสูง โดยเฉพาะในกรีกโยเกิร์ตทําน้ำสลัดที่ช่วยให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร อุดมด้วยแคลเซียม ช่วยบำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ด้วยเหตุผลเหล่านี้น้ำสลัดโยเกิร์ตคลีนจึงเป็นตัวช่วยที่ดีเยี่ยมในการรักษาสุขภาพและรูปร่างของคุณ แจกวิธีทำ! น้ำสลัดโยเกิร์ตสูตรโฮมเมด อร่อยง่าย ได้สุขภาพ อยากทำน้ำสลัดโยเกิร์ตเองที่บ้าน? ทำได้ง่ายๆ แถมดีต่อสุขภาพ! เพียงใช้โยเกิร์ตไขมันต่ำไม่เติมน้ำตาลทราย รสออริจินัล ซึ่งเต็มไปด้วยแคลเซียม วิตามินบี 2 และจุลินทรีย์ดีๆ คุณก็จะได้น้ำสลัดเนื้อเนียนนุ่ม หอม อร่อย ที่เก็บในตู้เย็นได้ 3-5 วัน จะทานกับสลัดหรือดิปผลไม้สดก็อร่อยชื่นใจ ส่วนผสมหลัก (สูตรพื้นฐาน) โยเกิร์ตธรรมชาติชนิดจืด 1 ถ้วย (เลือกกรีกโยเกิร์ตทำน้ำสลัด ถ้าชอบเนื้อข้น) น้ำมะนาวคั้นสด 1-2 ช้อนโต๊ะ น้ำผึ้ง หรือสารให้ความหวานอื่นๆ 1-2 ช้อนชา เกลือ เล็กน้อย พริกไทยป่น เล็กน้อย (ตามชอบ) วิธีทำน้ำสลัดโยเกิร์ต สูตรพื้นฐาน ในชามผสม ใส่โยเกิร์ตธรรมชาติลงไป เติมน้ำมะนาว, น้ำผึ้ง, เกลือ, และ พริกไทย คนส่วนผสมให้เข้ากันดี ชิมรสและปรับตามชอบ ถ้าอยากให้เหลวขึ้นเติมน้ำเปล่าหรือนมจืดนิดหน่อย สูตรยอดนิยมอื่น ๆ นอกจากสูตรพื้นฐาน คุณยังสามารถสร้างสรรค์น้ำสลัดโยเกิร์ต วิธีทำในแบบของคุณได้อีก น้ำสลัดโยเกิร์ตไข่ต้ม เพิ่มไข่ต้ม บดหยาบ ปรุงรสด้วยเกลือพริกไทย น้ำสลัดโยเกิร์ตมัสตาร์ด เติมมัสตาร์ด Dijon หรือมัสตาร์ดเหลือง 1-2 ช้อนชา น้ำสลัดโยเกิร์ตสตรอว์เบอร์รี่ บดสตรอว์เบอร์รี่สด 2-3 ลูก ผสมลงไป น้ำสลัดโยเกิร์ตสมุนไพร เพิ่มผักชีฝรั่งสับละเอียด หรือผักชีลาวสับ น้ำสลัดโยเกิร์ตไม่ได้มีดีแค่ราดสลัด! ไอเดียสร้างสรรค์เมนูอร่อยหลากสไตล์ น้ำสลัดโยเกิร์ตไม่ได้มีไว้แค่ราดบนผักสลัดเท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนผสมอเนกประสงค์ที่คุณสามารถนำไปใช้สร้างสรรค์เมนูอร่อยและดีต่อสุขภาพได้อีกมากมาย ลองดูไอเดียเหล่านี้ ราดบนสลัดผักสด เพิ่มความสดชื่นให้กับสลัดทุกชนิด ทั้งสลัดผักรวม สลัดไก่ย่าง หรือน้ำสลัดโยเกิร์ตไข่ต้ม ทานคู่กับผลไม้ น้ำสลัดโยเกิร์ตสตรอว์เบอร์รี่หรือสูตรหวานอมเปรี้ยว เข้ากันได้ดีกับผลไม้สด หรือจะทำเป็นไอติมก็อร่อยชื่นใจ เป็นดิปสำหรับผักสดหรือขนมปัง จิ้มกับผักแท่ง หรือใช้เป็นท็อปปิ้งขนมปังโฮลวีทปิ้ง ทำสลัดม้วนโรล…
เชื่อว่าประโยชน์ของโยเกิร์ตน่าจะเป็นที่ยอมรับกันอย่างเป็นสากลอยู่แล้ว แต่เบื้องลึกเบื้องหลังของซูเปอร์ฟู้ดชนิดนี้มีที่มาอย่างไร โยเกิร์ตทำมาจากอะไร วันนี้เรามาเก็บข้อมูลที่จะทำให้ทุกคนรู้จักโยเกิร์ตมากขึ้นกันดีกว่า บอกเลยว่าอาหารสุขภาพชนิดนี้มีสิ่งที่น่าสนใจอีกมากมาย ที่จะทำให้คุณกินโยเกิร์ตอร่อยมากขึ้นอย่างแน่นอน
จุลินทรีย์โยเกิร์ต คือหัวใจสำคัญที่ทำให้โยเกิร์ตเป็นอาหารเพื่อสุขภาพสำหรับทุกคน ตั้งแต่เด็กเล็กที่ต้องการตัวช่วยในการย่อยโปรตีนและแลคโตส ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่ต้องการเสริมสร้างสุขภาพโดยรวม นอกจากจะให้รสชาติและเนื้อสัมผัสที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว แบคทีเรียโยเกิร์ตเหล่านี้ยังมีบทบาทสำคัญในการช่วยบรรเทาอาการท้องเสียและส่งเสริมการทำงานของระบบย่อยอาหาร บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักว่าจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตมีอะไรบ้าง และจุลินทรีย์โยเกิร์ตช่วยอะไร เพื่อเผยพลังที่ซ่อนอยู่ในโยเกิร์ตที่คุณทานทุกวัน สายพันธุ์จุลินทรีย์ในโยเกิร์ต รู้จักโปรไบโอติกเพื่อสุขภาพลำไส้ โปรไบโอติกในโยเกิร์ต คือ จุลินทรีย์มีชีวิตที่เป็นมิตรต่อร่างกาย มีประโยชน์ต่อระบบขับถ่ายและภูมิคุ้มกัน ชนิดจุลินทรีย์โยเกิร์ตที่พบบ่อยได้แก่ Lactobacillus bulgaricus และ Streptococcus thermophilus ซึ่งเป็น จุลินทรีย์เริ่มต้นโยเกิร์ตที่ให้รสชาติและเนื้อสัมผัส รวมถึง Lactobacillus acidophilus และ Bifidobacterium (เช่น จุลินทรีย์ LB81) ที่ช่วยย่อยอาหาร เสริมภูมิคุ้มกัน และส่งเสริมการขับถ่าย  สิ่งสำคัญคือ ไม่ว่าโยเกิร์ตมีจุลินทรีย์กี่ตัว ต้องเลือกโยเกิร์ตที่มี จุลินทรีย์มีชีวิต (Live and Active Cultures) เพื่อให้ได้รับประโยชน์อย่างเต็มที่ เปิด 12 ประโยชน์จุลินทรีย์โยเกิร์ต แบคทีเรียมหัศจรรย์ที่คุณอาจไม่เคยรู้! จุลินทรีย์โยเกิร์ตมีประโยชน์มากมายนอกเหนือจากช่วยเรื่องขับถ่าย ช่วยย่อยนมและลดผลข้างเคียงยาปฏิชีวนะ เพิ่มแบคทีเรียดี ช่วยย่อยแลคโตสและโปรตีนนม รวมถึงฟื้นฟูสมดุลลำไส้หลังทานยาปฏิชีวนะ ช่วยย่อยใยอาหารและส่งเสริมการเผาผลาญ แบคทีเรียดีช่วยย่อยใยอาหารละลายน้ำ ทำให้การเผาผลาญดีขึ้น ช่วยลดไขมันรอบเอว การทานโยเกิร์ตเป็นประจำอาจช่วยให้ร่างกายดึงไขมันสะสมบริเวณรอบเอวมาใช้ได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงเบาหวานชนิดที่ 2 ช่วยปรับสมดุลอินซูลิน ลดความเสี่ยงภาวะดื้ออินซูลิน แต่ควรเลือกชนิดน้ำตาลน้อย ลดความเสี่ยงโรคหัวใจ จุลินทรีย์มีชีวิตช่วยลดการอักเสบในร่างกายทางอ้อม ส่งผลให้ตับสร้างคอเลสเตอรอลลดลง ลดความเสี่ยงมะเร็งบางชนิด สุขภาพลำไส้ที่ดีจากจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตอาจมีส่วนช่วยลดความเสี่ยงมะเร็งบางประเภท เช่น มะเร็งเต้านมและลำไส้ ลดอาการท้องเสียจากการเดินทาง การทานโยเกิร์ตช่วยเสริมความแข็งแรงของแบคทีเรียดีในลำไส้ ลดโอกาสท้องเสียเมื่อร่างกายเครียดจากการเดินทาง ลดแก๊สในทางเดินอาหาร ปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ ช่วยลดการเกิดแก๊สส่วนเกิน ปรับสมดุลระบบประสาทและอารมณ์ งานวิจัยชี้ว่าการทานโยเกิร์ตสม่ำเสมออาจช่วยปรับสมดุลฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับอารมณ์ ปรับสมดุลฮอร์โมนทางอ้อม สุขภาพลำไส้ที่ดีส่งผลต่อการผลิตและสมดุลของฮอร์โมนในร่างกาย เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน การทำงานจุลินทรีย์โยเกิร์ตช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ลดความรุนแรงของไข้หวัด ลดผื่นแพ้ผิวแห้ง การฟื้นฟูสมดุลแบคทีเรียดีในร่างกายด้วยโยเกิร์ตอาจช่วยลดโอกาสเกิดผื่นแพ้ผิวแห้งได้ กลไกการทำงานของจุลินทรีย์โยเกิร์ตจากนมสู่พลังสุขภาพ คุณเคยสงสัยไหมว่าโยเกิร์ตเกิดขึ้นได้อย่างไร? ย้อนไปกว่า 4,000 ปีที่แล้ว ชนเผ่า Thracians ค้นพบโยเกิร์ตโดยบังเอิญ เมื่อจุลินทรีย์โยเกิร์ตที่มีอยู่ตามธรรมชาติทำปฏิกิริยากับนมในถุงหนังแกะ กลายเป็นอาหารเพื่อสุขภาพที่เราคุ้นเคยมาจนถึงปัจจุบัน แล้วจุลินทรีย์โยเกิร์ตทำงานอย่างไรในร่างกายของเรา? เมื่อเราทานโยเกิร์ตที่มีจุลินทรีย์มีชีวิต พวกมันจะเดินทางไปตั้งรกรากในลำไส้ใหญ่ และเริ่มบทบาทสำคัญในการรักษาสมดุลสุขภาพ แย่งชิงพื้นที่จากจุลินทรีย์ไม่ดี จุลินทรีย์ดีในโยเกิร์ตจะแข่งขันกับจุลินทรีย์ก่อโรคในลำไส้ ทำให้จุลินทรีย์ไม่ดีไม่สามารถเติบโตได้ ผลิตสารที่เป็นประโยชน์ พวกมันสร้างกรดไขมันสายสั้น วิตามิน และสารอื่นๆ ที่มีคุณค่าต่อเซลล์ลำไส้และระบบต่างๆ ในร่างกาย สื่อสารกับระบบภูมิคุ้มกัน ลำไส้คือศูนย์รวมภูมิคุ้มกันกว่า 70% ของร่างกายจุลินทรีย์ในโยเกิร์ตจะส่งสัญญาณไปยังเซลล์ภูมิคุ้มกัน ช่วยปรับสมดุลและเสริมสร้างการตอบสนองของภูมิคุ้มกันให้ร่างกายพร้อมสู้กับเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เคล็ดลับเลือกโยเกิร์ตให้ได้โปรไบโอติกเต็ม ๆ โยเกิร์ตบางชนิดอาจไม่มีโปรไบโอติก แม้จะใช้จุลินทรีย์ในการผลิต (เช่น Streptococcus thermophilus และ Lactobacillus bulgaricus) หากอยากได้ประโยชน์จากจุลินทรีย์โยเกิร์ตที่เป็นโปรไบโอติกจริง ให้สังเกต ดังนี้ ฉลาก “Live and Active Cultures” หรือ “มีจุลินทรีย์มีชีวิต” นี่คือสิ่งสำคัญที่สุดที่บ่งบอกว่าโยเกิร์ตนั้นมีจุลินทรีย์ดีๆ พร้อมทำงาน สายพันธุ์จุลินทรีย์บนฉลาก มองหาชื่อสายพันธุ์ที่ได้รับการรับรองประโยชน์ เช่น Lactobacillus acidophilus และ Bifidobacterium lactic รสธรรมชาติ ไม่แต่งเติม โยเกิร์ตที่ไม่ใส่วัตถุกันเสีย กลิ่น สี หรือรสสังเคราะห์ จะดีต่อสุขภาพและประสิทธิภาพของจุลินทรีย์ แหล่งผลิตที่น่าเชื่อถือ…
สำหรับคนรักสุขภาพที่มองหาอาหารโปรตีนสูง โยเกิร์ตกรีกคือตัวเลือกยอดนิยม ด้วยเนื้อสัมผัสเข้มข้น รสกลมกล่อม และประโยชน์มากมาย ไม่ว่าจะเป็นนักกีฬา ผู้ลดน้ำหนัก หรือผู้ใส่ใจสุขภาพ บทความนี้จะเจาะลึกทุกเรื่องของโยเกิร์ตกรีก ตั้งแต่โยเกิร์ตกรีกคืออะไร โยเกิร์ตกรีก ประโยชน์มีอะไรบ้าง ความแตกต่างจากโยเกิร์ตทั่วไป ไปจนถึงไอเดียเมนูอร่อย ๆ ที่ทำเองได้ที่บ้าน ทำความรู้จัก “โยเกิร์ตกรีก” อะไรคือความพิเศษ? โยเกิร์ตกรีก หรือ กรีกโยเกิร์ต คือผลิตภัณฑ์นมพิเศษที่ผ่านการกรองน้ำเวย์ออกไปมากกว่าโยเกิร์ตทั่วไปถึง 3 เท่า ทำให้ได้เนื้อสัมผัสที่ข้นหนืดและเข้มข้นกว่ามาก ผลลัพธ์คือโยเกิร์ตกรีกมีโปรตีนสูงกว่าโยเกิร์ตธรรมดา 2 เท่า และมีคาร์โบไฮเดรตกับน้ำตาลแลคโตสต่ำลง จึงเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มโปรตีน ลดน้ำตาล หรือผู้มีปัญหาการย่อยแลคโตส ทำให้เป็นที่นิยมในหมู่คนรักสุขภาพ นักกีฬา และผู้ควบคุมน้ำหนัก โยเกิร์ตกรีก VS โยเกิร์ตธรรมดา แตกต่างกันอย่างไร? หลายคนอาจสงสัยว่าโยเกิร์ตกรีกต่างจากโยเกิร์ตทั่วไปอย่างไร ความต่างหลัก ๆ อยู่ที่เนื้อสัมผัส คุณค่าทางโภชนาการ และกระบวนการผลิต เนื้อสัมผัสและรสชาติ โยเกิร์ตกรีกจะข้น เนียน และเข้มข้นกว่ามาก เพราะผ่านการกรองน้ำเวย์ออกไปมากกว่า ทำให้มีรสชาติเปรี้ยวอมหวานที่เข้มข้นกว่า คุณค่าทางโภชนาการ  โยเกิร์ตกรีกมีโปรตีนสูงกว่าโยเกิร์ตทั่วไปถึง 2-3 เท่า ช่วยให้อิ่มนานและดีต่อกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ยังมีคาร์โบไฮเดรตและน้ำตาลแลคโตสต่ำกว่าครึ่งหนึ่ง ส่วนไขมันอาจสูงกว่า 1-3 เท่าในชนิดที่ไม่ใช่ไขมันต่ำ การเลือกจึงขึ้นอยู่กับความต้องการสารอาหารของคุณ กระบวนการผลิต โยเกิร์ตกรีกใช้ปริมาณนมมากกว่าและมีขั้นตอนการกรองที่ซับซ้อนกว่าโยเกิร์ตทั่วไป ทำให้ได้เนื้อสัมผัสและคุณค่าทางโภชนาการที่แตกต่างกัน ดังนั้น การเลือกโยเกิร์ตกรีกหรือโยเกิร์ตธรรมดาขึ้นอยู่กับเป้าหมายทางโภชนาการของคุณเป็นหลัก คุณค่าทางโภชนาการและประโยชน์ของโยเกิร์ตกรีก โยเกิร์ตกรีกอุดมด้วยสารอาหารและประโยชน์ แต่ควรทานในปริมาณพอเหมาะ (ประมาณถ้วยขนมหวานเล็ก ๆ) เพื่อไม่ให้ได้รับน้ำตาลมากเกินไป คุณประโยชน์หลักของโยเกิร์ตกรีกได้แก่ โปรตีนสูง ช่วยสร้างและซ่อมแซมกล้ามเนื้อ ทำให้อิ่มนาน ลดความอยากอาหาร และควบคุมน้ำหนักได้ดี แคลเซียมสูง บำรุงกระดูกและฟันให้แข็งแรง ป้องกันกระดูกพรุน โพรไบโอติก เสริมสร้างสมดุลระบบย่อยอาหาร สุขภาพลำไส้ และภูมิคุ้มกัน วิตามินและแร่ธาตุ เช่น วิตามินบี 12 (สำคัญต่อระบบประสาท) และโพแทสเซียม (รักษาสมดุลของเหลวในร่างกาย) โยเกิร์ตกรีกตัวช่วยสำคัญในการลดน้ำหนักและสร้างกล้ามเนื้อ โยเกิร์ตกรีกเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักและสร้างกล้ามเนื้อ โปรตีนสูงเพื่อลดไขมันและสร้างกล้ามเนื้อ โยเกิร์ตกรีกมีโปรตีนสูงกว่าโยเกิร์ตทั่วไป 2 เท่า เนื่องจากผ่านการกรองน้ำเวย์ออกไป ทำให้มีแคลอรี คาร์โบไฮเดรต และน้ำตาลแลคโตสต่ำลง โปรตีนช่วยให้อิ่มนาน ลดการกินจุบจิบ และควบคุมน้ำหนักได้ดี งานวิจัยปี 2019 ยังพบว่าโยเกิร์ตกรีกช่วยเสริมสร้างมวลกล้ามเนื้อและลดไขมันได้ดีกว่า รวมถึงเพิ่มความแข็งแรง ลดความเสี่ยงบาดเจ็บจากการออกกำลังกาย ปริมาณที่เหมาะสมและเคล็ดลับการบริโภค เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด ควรเลือกโยเกิร์ตกรีกที่มีโปรตีนอย่างน้อย 20 กรัม และคาร์โบไฮเดรต 6-8 กรัมต่อ 200 กรัม ในวันที่ออกกำลังกาย ควรทาน 200 กรัม 3 ครั้ง/วัน (พร้อม/หลังอาหาร) ส่วนวันที่ไม่ออกกำลังกาย ควรทาน 150 กรัม 2 ครั้ง/วัน (พร้อม/หลังอาหาร) หากทานเป็นของว่าง ควรทานคู่กับถั่วหรือผลไม้ เช่น บลูเบอร์รี เพื่อให้ได้โปรตีน ไขมันดี และคาร์โบไฮเดรตครบถ้วน ด้วยคุณประโยชน์เหล่านี้ โยเกิร์ตกรีกจึงเป็นอาหารสำคัญในการรักษามวลกล้ามเนื้อขณะลดน้ำหนักและช่วยฟื้นฟูร่างกายหลังออกกำลังกาย โยเกิร์ตกรีกยี่ห้อไหนดี? เลือกอย่างไรให้ตอบโจทย์คุณ การเลือกซื้อโยเกิร์ตกรีก ที่ดีที่สุดขึ้นอยู่กับความชอบและวัตถุประสงค์ของคุณ นี่คือข้อควรรู้โยเกิร์ตกรีก ยี่ห้อไหนดี …
วิธีทำโยเกิร์ตเป็นเรื่องที่เจ้าของแบรนด์ทุก ๆ คนจำเป็นต้องทราบ หากอยากเข้ามาทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ชนิดนี้ เนื่องด้วยขั้นตอนการผลิตค่อนข้างมีความสำคัญ จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เจ้าของแบรนด์ต้องทำการศึกษา ทั้งนี้นอกจากเรื่องการผลิต สิ่งที่ขาดไม่ได้เลยคือการเรียนรู้หลักการสร้างแบรนด์ให้มีความพร้อมในการจำหน่ายสู่ผู้บริโภค ดังนั้นเพื่อเป็น Case Study แก่เจ้าของแบรนด์รายใหม่ Butterfly Organic จึงขอนำเสนอเรื่องราวของเราเพื่อเป็นตัวช่วยแก่เจ้าของแบรนด์มือใหม่ให้ศึกษาง่ายยิ่งขึ้น
จุลินทรีย์ในอาหาร เชื่อได้ว่าเป็นคำที่หลาย ๆ คนคุ้นเคยกันดีโดยเฉพาะผู้ที่รับประทานจุลินทรีย์เหล่านี้เพื่อคุณประโยชน์ทางด้านสุขภาพ ซึ่งคงไม่ผิดนักหากจะบอกว่าเมื่อพูดถึง “จุลินทรีย์” หลาย ๆ คนมักจะนึกถึงแบคทีเรีย หรือเชื้อบางอย่างที่ดูไม่ค่อยน่ากินนัก แต่เราก็มักจะรับประทานมันอยู่บ่อย ๆ 
ซาโฮร คือการกินอาหารก่อนพระอาทิตย์ขึ้นที่ชาวมุสลิมจะทำกันในช่วงถือศีลอด เมื่อเวลาในการกินอาหารมีจำกัด สามารถกินได้แค่ 2 มื้อในช่วงกลางคืนเท่านั้น ข้าวซาโฮร จึงต้องเป็นอาหารที่ให้พลังงานสูง แล้วการกินซาโฮรต้องทำยังไง ถือศีลอด กินอะไรได้บ้าง รวมถึงเวลากินข้าวซาโฮรคือเวลาไหน วันนี้เราจะมาหาคำตอบกัน ซาโฮร คืออะไร เกี่ยวข้องกับการถือศีลอดอย่างไร คำจำกัดความอย่างง่ายของ ซาโฮร คือ อาหารที่กินในช่วงถือศีลอด โดยหลักแล้วจะต้องงดกินอาหารและเครื่องดื่มในเวลากลางวัน การกินอาหารจึงถูกจำกัดเหลือมื้อหลักๆ แค่ 1-2 มื้อในช่วงเวลากลางคืน ดังนั้นซาโฮร คืออาหารที่ต้องกินในช่วงก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นเพื่อให้ร่างกายได้รับพลังงานไปใช้ตลอดทั้งวัน รวมถึงซาโฮรก็ต้องเป็นอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารที่จำเป็น โดยทั่วไปแล้วจะเป็นอาหารจำพวกผัก ผลไม้ ธัญพืชที่ไม่ขัดสี โปรตีนที่มีไขมันต่ำ เช่น  ไข่ น้ำเต้าหู้ หรือเนื้อสัตว์แบบไม่ติดหนังหรือมัน ส่วนการถือศีลอดตามความหมายของศาสนาของอิสลามก็คือการงดเว้นการกิน ดื่ม เสพ  ร่วมประเวณี และการกระทำอื่นที่ขัดต่อหลักคุณธรรม โดยจะห้ามทำตลอดช่วงเวลาตั้งแต่แสงรุ่งอรุณขึ้นไปจนถึงเวลาที่ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ดังนั้นซาโฮรคือมื้ออาหารสำคัญที่จะต้องกินแบบมีคุณภาพเพื่อร่างกายไม่ขาดน้ำและพลังงานในการทำกิจกรรมต่างๆ และการถือศีลอดยังนับว่าเป็นการชำระล้างทั้งด้านร่างกายและจิตใจ ทางด้านร่างกายคือการนำพลังงานส่วนเกินในร่างกายออกมาใช้ ส่วนทางด้านจิตใจคือการระงับความอยากที่เกินตัว จะต้องใช้จิตใจที่แน่วแน่เพื่อให้ผ่านช่วงกลางวันของทุกวันไปให้ได้ วิธีการกินซาโฮรต้องทำอย่างไรบ้าง? วิธีการกินซาโฮรนอกจากจะต้องดูว่าถือศีลอดกินอะไรได้บ้าง และ ถือศีลอดกินข้าวตอนไหนได้บ้าง แม้จะไม่มีข้อกำหนดเรื่องอาหารที่ชัดเจนแต่โดยทั่วไปแล้วจะต้องเลือกอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบถ้วน อิ่มท้องได้นาน และต้องดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อลดอาการขาดน้ำในช่วงเวลากลางวันด้วย แนวทางในการกินซาโฮรจะมีดังนี้ 1. กินอาหารให้ครบ 5 หมู่  เพื่อให้ได้รับสารอาหารเพียงพอในช่วงถือศีลอดและเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง ป้องกันการเจ็บป่วยหรือเกิดโรคต่างๆ ด้วย 2. กินธัญพืชที่ไม่ขัดสี   เช่น ข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอร์รี่ หรือพวกขนมปังโฮลวีท เพราะมีใยอาหารสูง อิ่มท้องนาน ระดับน้ำตาลในเลือดจะไม่สูงเพราะธัญพืชที่ไม่ขัดสีจะช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่กระแสเลือด 3. ทานโปรตีนคุณภาพดี เช่น ไข่ นมโค นมถั่วเหลือง น้ำเต้าหู้ หรือเนื้อสัตว์ไขมันต่ำอย่างอกไก่หรือปลา เพื่อรักษา มวลกล้ามเนื้อเอาไว้ 4. ไม่ทานอาหารไขมันสูง เพื่อให้ร่างกายนำไขมันส่วนเกินที่สะสมอยู่ในร่างกายมาใช้เป็นพลังงาน อาหารไขมันสูงอาหารที่ควรเลี่ยงก็จะเป็นพวกเนื้อสัตว์ติดหนังหรือมัน อาหารใช้เนยหรือมาการีน อาหารทอด แกงที่มีกะทิ ในการปรุงอาหารควรใช้วิธีต้ม ตุ๋น นึ่ง ย่าง อบ ยำ หรือผัดด้วยน้ำมันน้อยๆ แทน 5. ไม่ทานอาหารเค็มจัด พยายามหลีกเลี่ยงซาโฮรที่มีรสเค็มจัดหรือมีโซเดียมสูง เช่น อาหารแปรรูป ขนมขบเคี้ยว เพราะจะทำให้รู้สึกกระหายน้ำในช่วงกลางวันได้ง่ายขึ้น รวมถึงจะต้องดื่มน้ำเปล่าให้เพียง พอในช่วงกลางคืนด้วยเพื่อป้องกันการขาดน้ำระหว่างวัน 6. ไม่ทานเยอะเกินไป การกินข้าวซาโฮรควรกินให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย ไม่กินเยอะจนเกินไปเพราะจะทำให้เกิดอาการจุกเสียดหรือปวดท้อง ควรกินอาหารช้าๆ เคี้ยวให้ละเอียด และไม่ควรนอนทันทีหลังจากกินเสร็จเพื่อป้องกันอาการกรดไหลย้อน 7. งดเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน ไม่ว่าจะเป็นชา กาแฟ น้ำอัดลม เพราะจะทำให้กระหายน้ำระหว่างวันได้ง่าย มีผลในการขับน้ำออกจากร่างกาย และจะทำให้ปัสสาวะบ่อยด้วย ควรเลือกดื่มน้ำเปล่าจะดีที่สุด ช่วงเวลากินข้าวซาโฮรมีตอนไหนบ้าง? ส่วนใครที่กำลังสงสัยว่าจะต้องกินซาโฮร กี่โมงหรือตามหลักแล้วสามารถกินข้าวบวชได้ถึงกี่โมง โดยทั่วไปแล้วการถือศีลอดจะไม่นำสิ่งใดเข้าไปในปากหรือจมูกโดยเจตนาเฉพาะเวลากลางวันเท่านั้น ดังนั้นจึงไม่มีเวลากินข้าวถือศีลอดที่ชัดเจน ซาโฮรหมดเวลาไหนก็ไม่ชัดเจน ขึ้นอยู่กับเวลาที่พระอาทิตย์ขึ้นและตกในแต่ละพื้นที่ แต่ส่วนใหญ่แล้วมักเลือกกินเวลาประมาณหัวรุ่งเช้าหรือเวลาประมาณตี 3 เพื่อไม่ให้เกิดหิวหรือกระหายในช่วงกลางวัน และจะต้องเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ อิ่มท้องได้นาน ดื่มน้ำให้เพียงพอเพื่อป้องกันการขาดน้ำเท่านี้ก็ไม่มีปัญหาในการกินซาโฮรแล้ว และนี่คือคำตอบที่หลายคนสงสัยว่าถือศีลอดกินข้าวตอน ไหนจะได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักการกินที่ถูกวิธี กินซาโฮรยังไงให้อร่อยและได้ประโยชน์ เมื่อรู้กันไปแล้วว่าถือศีลอดกินข้าวตอนไหนจึงจะถูกต้องตามหลัก และในช่วงการ ถือศีลอดกินอะไรได้บ้าง ใครที่อยากได้ตัวช่วยดีๆ ในการกินซาโฮร วันนี้เราก็มีโยเกิร์ตพร้อมดื่มผสมลูกฟิกและอินทผาลัมตรา Butterfly มาแนะนำกัน ในคัมภีร์อัลกุรอานเคยบันทึกเอาไว้ว่าอินทผาลัมใช้แทนการดื่มน้ำได้ และยังเป็นผลไม้ที่ให้พลังงาน กินแล้วอยู่ท้อง ลดอาการอ่อนเพลียในช่วงอดอาหารได้ดี…
7 อาหารสุขภาพ อร่อย ทำง่าย ยาเพิ่มอายุวัฒนะได้ในทุกวัน อาหารสุขภาพหรืออาหาร Healthy นับว่าเป็นกระแสที่มาแรงต่อเนื่องหลายปีและยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไป เพราะผู้คนในปัจจุบันเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสุขภาพมากขึ้น อาหารรักสุขภาพจึงถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนสายเฮลตี้ทานแล้วได้ทั้งสุขภาพดี และยังได้รับความอร่อยไปพร้อมกัน แค่เราใส่ใจในการเลือกอาหารมากขึ้นก็จะได้สุขภาพที่ดีขึ้นกลับไปง่ายๆ แล้วอาหาร Healthy food มีอะไรบ้าง แต่ละเมนูจะน่าสนใจแค่ไหน วันนี้เราลองมาดูกัน อาหารสุขภาพคืออะไร แตกต่างจากอาหารทั่วไปยังไง อาหารสุขภาพหรือ Healthy food หมายถึงอาหารที่ทานในปริมาณเหมาะสมแล้วจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ช่วยในการป้องกันโรคหรือเยียวยารักษาได้ โดยทั่วไปแล้วของกินเพื่อสุขภาพก็จะเป็นพวกอาหารมีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี หรือปลา ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆ แต่การกินอาหารที่มีประโยชน์ก็จะต้องควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกินเพื่อให้ได้ร่างกายที่แข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรค อย่างที่มักจะเห็นกันว่าคนที่กินอาหาร Healthy ก็จะเป็นคนที่ออกกำลังกายกันอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง แนะนำ 7 เมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่ทำกินเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน เมื่อพูดถึงอาหารสุขภาพ หลายคนอาจเข้าใจว่าต้องเป็นอาหารราคาแพง มีขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก แต่ความเป็นจริงแล้วเมนูสุขภาพสามารถปรุงได้จากวัตถุดิบราคาถูก รสชาติอร่อย และยังทำได้ง่าย บางเมนูก็เป็นอาหารที่ทานกันเป็นประจำอยู่แล้ว และเมนูอาหารสุขภาพ มีอะไรบ้าง สำหรับเมนูที่เราจะมาแนะนำกันก็มี 7 เมนูดังนี้ 1. โยเกิร์ตโรยกราโนล่า แน่นอนเลยว่าทั้งโยเกิร์ตและกราโนล่าถือว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์และยังได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน ได้รสสัมผัสเนียนนุ่มจากโยเกิร์ตและยังผสมผสานความกรุบกรอบของกราโนล่าทำให้ทานได้อร่อย ในด้านประโยชน์ก็ช่วยทั้งการปรับสมดุลร่างกาย ช่วยระบบขับถ่าย ป้องกันท้องผูก เหมาะเป็นอาหารมื้อเช้าหรือมื้อระหว่างวันสำหรับผู้ที่ต้องการคุมน้ำหนักมากที่สุด 2. เยลลี่นมสดใส่ผลไม้ อีกหนึ่งเมนูเพื่อสุขภาพที่ได้ทั้งความอร่อยและยังได้ความสดชื่นก็คือเยลลี่นมสด แค่นำเจลาตินหรือผงวุ้นมาแช่น้ำเย็นจนพองตัวแล้วพักไว้ จากนั้นก็อุ่นนมสดให้ร้อนแล้วผสมกับเจลาตินให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วยพร้อมโรยผลไม้สดหั่นชิ้นพอดีคำลงไป สำหรับผลไม้ก็เลือกได้ตามใจชอบ แนะนำเป็นแก้วมังกร กีวี่ มะละกอ หรือสตรอเบอรี่ก็จะช่วยเพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังสามารถเพิ่มโยเกิร์ตเข้าไปเสริมรสชาติและเนื้อสัมผัสได้ มีทั้งประโยชน์และความอร่อย ควบคุมระดับน้ำตาลเองได้ด้วย 3. ปลาซาบะย่างเกลือ ปลาซาบะย่างเกลือเป็นอีกหนึ่งเมนูเพื่อสุขภาพที่อร่อยและทำง่าย ได้ประโยชน์ที่หลากหลาย วัตถุดิบที่ต้องใช้ก็มีแค่เนื้อปลาซาบะ นำมาย่างด้วยไฟกลางเพื่อไม่ให้ DHA สลายเมื่อโดนความร้อน ประโยชน์ก็มีหลายอย่างทั้งเป็นแหล่งโปรตีน กระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน มี DHA ที่เป็นประโยชน์ต่อสมองและระบบไหลเวียนเลือด มีวิตามินหลายชนิด ช่วยรักษาสมดุลแคลเซียมในร่างกายได้อีกด้วย 4. โจ๊กข้าวโอ๊ต โจ๊กข้าวโอ๊ตเป็นอีกหนึ่งเมนูสุขภาพที่ทำง่ายและได้ประโยชน์ เพราะข้าวโอ๊ตมีแมกนีเซียมสูง แคลอรี่ต่ำ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี ทานแล้วอยู่ท้อง แค่เปลี่ยนจากข้าวธรรมดามาเป็นข้าวโอ๊ตก็ได้โปรตีนเพิ่มขึ้นและยังมีแร่ธาตุ วิตามินต่างๆ เพิ่มเข้ามา สามารถใส่อกไก่หรือกุ้งเข้าไปเพิ่มโปรตีนและสารอาหารอื่นได้ด้วย 5. ข้าวอบธัญพืช ข้าวอบธัญพืชก็เป็นอีกหนึ่งอาหารรักสุขภาพที่ทำง่าย ได้ประโยชน์ที่หลากหลาย ข้าวที่ใช้ก็เลือกได้ว่าจะใช้ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ หรือข้าวไรซ์เบอร์รี ปริมาณน้ำตาลจะต่ำกว่าข้าวขาวธรรมดา วัตถุดิบอื่นที่ใส่แล้วเข้ากันก็มีหลายอย่าง ลูกเดือย : มีไฟเบอร์สูง มีสารคอกซีโนไลด์ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ดีต่อระบบย่อยอาหาร ข้าวโพด : ให้คาร์โบไฮเดรต ลดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลในเลือด บำรุงสายตา ช่วยให้ผิวพรรณสวยเต่งตึง  ถั่วลันเตา : มีสรรพคุณในการลดความดันเลือดและขับสารพิษในร่างกาย เห็ดหอม : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย ลดไขมันในเส้นเลือด บำรุงสมองและผิวพรรณได้ดี 6. ยำแซลมอนใส่ต้นอ่อนทานตะวัน ใครที่ชอบรสชาติจัดจ้านก็มียำแซลมอนใส่ต้นอ่อนทานตะวันเป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมสูง แซลมอนมีโอเมก้า 3 ที่ช่วยบำรุงระบบประสาท ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคสมองเสื่อม โรคหัวใจ ส่วนต้นอ่อนทานตะวันก็ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ และโรคเบาหวาน เพียงแต่การปรุงรสจะต้องใช้เครื่องปรุงโซเดียมต่ำเพื่อไม่ให้รับโซเดียมเกินความจำเป็น 7. ไก่ผัดขิง ใครจะเชื่อว่าเมนูง่ายๆ ที่พบเห็นได้ทุกวันอย่างไก่ผัดขิงก็เป็นหนึ่งในอาหารสุขภาพที่ดีที่สุด ด้วยรสชาติที่คุ้นเคยทำให้ทานได้ง่าย วัตถุดิบหาง่าย ขั้นตอนการทำก็ง่าย…
อินทผาลัมเป็นผลไม้ที่มีทั้งประโยชน์และความอร่อยควบคู่กัน แต่เดิมนั้นอินทผาลัมเป็นผลไม้ต่างประเทศแต่ปัจจุบันก็มีการปลูกในประเทศไทยเป็นจำนวนมาก ด้วยประโยชน์ของอินทผาลัมที่ช่วยปรับสมดุลแบคทีเรียในลำไส้ บำรุงร่างกาย และยังมีรสหอมหวาน ราคาไม่แพง ผลอินทผาลัมจึงกลายเป็นอีกหนึ่งผลไม้เพื่อสุขภาพที่ผู้คนมากมายเลือกรับประทานกัน แล้วประโยชน์อินทผาลัมมีอะไรบ้าง อินทผาลัมกินยังไง ไม่ควรกินเกินวันละกี่ผล วันนี้เราจะมาหาคำตอบไปพร้อมกัน ผลไม้อินทผาลัม คืออะไร มีต้นกำเนิดมาจากที่ใด ใครที่มีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติคงเคยสงสัยกันว่า Dates คือผลไม้อะไรทำไมชาวต่างชาติถึงชอบทานกัน Date Palm หรือ Dates ก็คืออินทผาลัมซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกับต้นปาล์ม มีต้นกำเนิดจากภูมิภาคตะวันออกกลางและแถบแอฟริกาเหนือ ผลไม้อินทผาลัมมีอยู่หลายสายพันธุ์ มีหลายสี และยังมีหลายชื่อเรียก ทั้งชื่ออินทผาลัมแบบที่คนไทยรู้จัก สำหรับประเทศในแถบตะวันตกจะเรียกว่า Date Palm หรือ Dates ทางอาหรับจะเรียกว่าตัมร ส่วนทางมลายูจะเรียกว่ากุรหม่า คนส่วนมากจะคุ้นเคยกับผลอินทผาลัมสีเหลืองแต่ก็มีสายพันธุ์ที่เป็นสีอื่นด้วย เช่น สีส้ม หรือสีแดง โดยทั่วไปอินทผาลัมจะเติบโตได้ดีในเขตที่มีสภาพอากาศแห้งแล้งอย่างเช่นทะเลทราย ประเทศที่ผลิตและส่งออกผลอินทผาลัมเยอะที่สุดจึงเป็นซาอุดิอาราเบีย ทุกวันนี้อินทผาลัมเริ่มเป็นที่ต้องการของตลาดจนหลายประเทศนำเข้ามาปลูกตามๆ กัน ประเทศไทยของเราก็เป็นอีกประเทศที่นำเข้าอินทผาลัมมาเพื่อการเพาะพันธุ์ และมีสวนอินทผาลัมในประเทศอยู่หลายแห่งด้วยเช่นกัน อินทผาลัมสดประโยชน์และโทษมีอะไรบ้างที่ควรต้องรู้ก่อนรับประทาน อินทผาลัมสด ประโยชน์และโทษก็มีหลายอย่าง ถ้ากินให้ดีก็เป็นยา แต่ถ้ากินผิดวิธีก็อาจทำให้ป่วยได้เหมือนกัน ประโยชน์ของอินทผาลัม ประโยชน์ของอินทผาลัมก็มีสูงไม่แพ้ผลไม้ยอดนิยมอื่นๆ สำหรับประโยชน์อินทผาลัมหลักๆ จะมี ดังนี้ 1.1 ช่วยในการลดน้ำหนัก        ผลอินทผาลัมมีไฟเบอร์สูง ระบบการย่อยอาหารจึงทำงานได้เต็มที่ ทานแล้วอิ่มท้อง ไม่หิวง่าย มีสารอาหารที่ช่วยปรับการทำงานของแบคทีเรียในลำไส้ ระบบขับถ่ายจึงทำงานได้ดีตามไปด้วย ส่งผลให้น้ำหนักลดง่ายขึ้น แต่อินทผาลัมก็มีน้ำตาลสูง อินทผาลัม 1 เม็ด แคลอรี่สูง 23 กรัม มีน้ำตาล 5 กรัม ถ้าทานมากไปหรือเลือกผลที่หวานจัดก็อาจทำให้อ้วนขึ้นได้เช่นกัน 1.2  ช่วยในการป้องกันโรค       ไม่ว่าจะเป็นผลอินทผาลัมสดหรืออินทผาลัมอบแห้ง สรรพคุณในการป้องกันโรคก็มีเหมือนกัน จากงานวิจัยที่เคยให้ผู้ป่วยเบาหวานทานอินทผาลัมพบว่าระดับน้ำตาลในเลือดไม่สูงขึ้น และยังช่วยบำรุงตับอ่อนได้ แต่ควรทานในปริมาณที่เหมาะสม จากงานวิจัยอีกชิ้นยังพบว่าในผลอินทผาลัมมีสารที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อมดลูก สำหรับสตรีตั้งควรรภ์จะช่วยให้มดลูกบีบตัวได้ดีขึ้น ลดการเสียเลือดในช่องคลอดได้  1.3 ช่วยบำรุงร่างกาย        รสหวานและกลิ่นของผลอินทผาลัมช่วยให้ร่างกายสดชื่น น้ำตาลภายในอินทผาลัมก็จะช่วยให้ร่างกายมีเรี่ยวแรง คลายความเหนื่อยล้า เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า สำหรับมารดาที่ให้นมบุตร อินทผาลัมก็ยังช่วยทั้งการเพิ่มน้ำนม ลดความเครียด ลดภาวะซึมเศร้าหลังคลอด น้ำนมจะมีปริมาณมากขึ้นและยังได้สารอาหารเพิ่มขึ้นอีกด้วย โทษของอินทผาลัม แม้อินทผาลัม สรรพคุณจะมีสูง แต่สำหรับผู้ที่มีปัญหาสุขภาพอยู่แล้วก็อาจเป็นโทษได้เช่นกัน เพราะในผลอินทผาลัมมีปริมาณโพแทสเซียมสูง ในเคสของผู้ที่มีปัญหาในการขับโพแทสเซียมออกจากร่างกายก็อาจเป็นอันตรายได้ ใครที่สงสัยว่าโรคไตกินอินทผาลัมได้ไหมต้องบอกเลยว่าไม่ควรเป็นอย่างยิ่งเพราะทำให้เกิดภาวะโพแทสเซียมเกิน รวมถึงในผู้ป่วยเบาหวานก็อาจทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวได้ด้วย สารอาหารของผลไม้อินทผาลัมที่หลายคนยังไม่เคยรู้ อินทผาลัม 1 ผลนับว่ามีปริมาณไขมันและคอเลสเตอรอลต่ำ ไม่มีกลูเตน โซเดียมน้อย ไฟเบอร์สูง มีวิตามินหลายชนิดทั้ง วิตามินเอ, วิตามินบี 1, วิตามินบี 2, วิตามินบี 6, วิตามินเค มีเบต้าแคโรทีน, ลูทีน และซีแซนทีนสูง สำหรับสารอาหารอื่นภายในอินทผาลัม 1 ผลก็ยังมีทั้งโปรตีน, คาร์โบไฮเดรต, โซเดียม, โพแทสเซียม, แม็กนีเซียม, เหล็ก, โฟเล็ต, น้ำตาล และผลอินทผาลัมขนาด 8 กรัมยังมีแคลอรี่แค่ 23 เท่านั้น อินทผาลัมกินยังไงให้ได้ประโยชน์ต่อร่างกายมากที่สุด ใครที่ยังไม่เคยลองและสงสัยว่าอินทผาลัมกินยังไงให้ได้ประโยชน์มากที่สุด โดยทั่วไปแล้วอินทผาลัมสามารถกินได้ทั้งผลสุกและผลดิบ ในผลดิบจะมีความหวานน้อยกว่า มีปริมาณน้ำตาลน้อยกว่า สามารถกินได้มากกว่าผลสุก ส่วนผลสุกจะมีรสชาติหวานมาก มีกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ ถ้านำผลสุกไปตากแห้งหรืออบแห้งจะสามารถเก็บไว้ได้นานนับปี ส่วนข้อสงสัยว่าอินทผาลัมกินวันละกี่เม็ดถึงจะดี ปกติแล้วไม่ควรกินเกิน 5-10 เม็ดต่อวันทั้งผลสดและผลแห้งอินทผาลัมยังสามารถนำมาแปรรูปในแบบอื่นๆ ได้…

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ 隱私政策 และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า