โรคเบาหวาน คืออะไร มีอาการอย่างไร รักษาวิธีไหนได้บ้าง?

Picture of Butterfly Organic

Butterfly Organic

โรคเบาหวาน คือภาวะสุขภาพที่เกิดจากความผิดปกติของการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ส่งผลให้ระดับน้ำตาลสูงเกินกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง หลายคนอาจสงสัยว่าโรคนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และสัญญาณเตือนมีอะไรบ้าง การทำความเข้าใจ โรคเบาหวาน อาการ สาเหตุ วิธีป้องกัน จะช่วยให้สามารถดูแลและรักษาได้อย่างถูกวิธี บทความนี้ Butterfly Organic ได้รวบรวมข้อมูลที่สำคัญ ครอบคลุมทั้งด้านการแพทย์และการดูแลตนเอง เพื่อให้ผู้อ่านสามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตประจำวัน ลดความเสี่ยงและจัดการโรคเบาหวานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โรคเบาหวาน คืออะไร?

โรคเบาหวาน คือ ภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติอย่างต่อเนื่อง สาเหตุเกิดจากความผิดปกติในการทำงานของฮอร์โมนอินซูลิน ไม่ว่าจะเป็นการที่ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้น้อย หรือร่างกายเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ไม่สามารถนำน้ำตาลในกระแสเลือดไปใช้ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้มีน้ำตาลสะสมอยู่ในเลือดเป็นเวลานาน หากปล่อยไว้โดยไม่ดูแลรักษา อาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนทั้งในหลอดเลือดขนาดเล็กและขนาดใหญ่

โรคเบาหวาน มีสาเหตุเกิดจากปัจจัยอะไรได้บ้าง?

โรคเบาหวานเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ทั้งปัจจัยภายในร่างกายและพฤติกรรมการใช้ชีวิต ซึ่งบางปัจจัยสามารถปรับเปลี่ยนเพื่อลดความเสี่ยงได้

  • กรรมพันธุ์ — หากพ่อ แม่ หรือพี่น้องสายตรงเป็นโรคเบาหวาน ความเสี่ยงของการเกิดโรคในบุคคลนั้นจะสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
  • อายุที่มากขึ้น — โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป จะมีโอกาสเกิดภาวะดื้อต่ออินซูลินมากขึ้น
  • ภาวะน้ำหนักเกินหรืออ้วนลงพุง — รอบเอวเกินมาตรฐาน (ผู้ชาย > 90 ซม., ผู้หญิง > 80 ซม.) หรือค่าดัชนีมวลกายเกินเกณฑ์ ล้วนเพิ่มความเสี่ยง
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต — การไม่ออกกำลังกาย การนั่งทำงานหรืออยู่เฉย ๆ เป็นเวลานาน และการบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลสูง เป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดอาการเบาหวาน
  • โรคร่วมและภาวะทางสุขภาพ — ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดผิดปกติ กลุ่มอาการถุงน้ำรังไข่หลายใบ (PCOS) และโรคหัวใจ ล้วนสัมพันธ์กับการเกิดเบาหวาน
  • ประวัติการตั้งครรภ์ — ผู้หญิงที่เคยเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์หรือเคยคลอดบุตรที่มีน้ำหนักมากกว่า 4 กิโลกรัม มีโอกาสเสี่ยงมากขึ้น
  • การใช้ยาบางชนิด — เช่น ยาที่มีส่วนประกอบของสเตียรอยด์ ซึ่งอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้น

ชนิดของโรคเบาหวาน มีอะไรบ้าง?

โรคเบาหวาน แบ่งออกเป็นหลายชนิด ซึ่งแต่ละชนิดมีสาเหตุและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกัน การทำความเข้าใจชนิดของโรคจะช่วยให้ผู้ป่วยและบุคคลทั่วไปสามารถเลือกแนวทางการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม และลดโอกาสเกิดเบาหวานอาการที่รุนแรงในอนาคต

  • โรคเบาหวานชนิดที่ 1 — เกิดจากภูมิคุ้มกันร่างกายทำลายเซลล์ตับอ่อนที่สร้างอินซูลิน ทำให้เกิดภาวะขาดอินซูลินอย่างสมบูรณ์ พบมากในเด็กและวัยรุ่น ต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลินตลอดชีวิต
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2 — เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลินร่วมกับการผลิตอินซูลินลดลง ปัจจัยเสี่ยงหลักได้แก่ กรรมพันธุ์ น้ำหนักเกิน และพฤติกรรมการใช้ชีวิต
  • โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์ — เกิดขึ้นระหว่างตั้งครรภ์และมักหายไปหลังคลอด แต่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ในอนาคต
  • โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ — เช่น เกิดจากโรคของตับอ่อน ภาวะฮอร์โมนผิดปกติ หรือการใช้ยาบางชนิด

โรคเบาหวาน มีอาการอย่างไร?

อาการโรคเบาหวาน อาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล บางคนอาจไม่มีอาการชัดเจนในระยะแรก การรู้จักสัญญาณเตือนสำคัญจะช่วยให้ตรวจพบและรักษาได้เร็วขึ้น ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน

  • กระหายน้ำและปัสสาวะบ่อย — โดยเฉพาะช่วงกลางคืนมากกว่า 3 ครั้ง เป็นสัญญาณบ่งชี้ระดับน้ำตาลในเลือดสูง
  • หิวบ่อยและน้ำหนักลด — ร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลเป็นพลังงานได้เต็มที่ จึงเผาผลาญไขมันและกล้ามเนื้อแทน
  • อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย — เนื่องจากเซลล์ขาดพลังงานจากน้ำตาล
  • สายตาพร่ามัว — น้ำตาลสูงส่งผลต่อการทำงานของเลนส์ตา
  • แผลหายช้าและติดเชื้อง่าย — โดยเฉพาะแผลที่เท้าหรือผิวหนัง
  • ชาหรือแสบร้อนปลายมือปลายเท้า — สัญญาณของเส้นประสาทถูกทำลายจากระดับน้ำตาลสูงเรื้อรัง
  • ติดเชื้อราบ่อย — เช่น บริเวณช่องปาก ผิวหนัง หรืออวัยวะเพศ

โรคเบาหวาน วิธีการรักษาอย่างไร?

การรักษาโรคเบาหวาน จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างแพทย์ ผู้ป่วย และครอบครัว เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปลอดภัย ลดความเสี่ยงภาวะแทรกซ้อน และรักษาคุณภาพชีวิตให้อยู่ในระดับดี การดูแลรักษาประกอบด้วยหลายวิธีที่สามารถทำร่วมกันได้

การควบคุมอาหาร

การควบคุมอาหารเป็นหัวใจสำคัญของการจัดการโรคเบาหวาน การเลือกบริโภคอาหารที่มีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เพิ่มปริมาณผักใบเขียว ธัญพืชไม่ขัดสี และโปรตีนคุณภาพดี เช่น เนื้อปลา ไข่ขาว และนมพร่องมันเนย จะช่วยให้ระดับน้ำตาลในเลือดคงที่ การหลีกเลี่ยงอาหารหวานจัด เครื่องดื่มน้ำตาลสูง และอาหารทอดมันมาก จะช่วยป้องกันการเกิดอาการเบาหวานสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อ่านบทความ >> นมสำหรับผู้ป่วยเบาหวาน เลือกอย่างไรดี? 

การออกกำลังกาย

การออกกำลังกายช่วยเพิ่มความไวของร่างกายต่ออินซูลิน ทำให้ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ดีขึ้น ผู้ป่วยควรออกกำลังกายแบบแอโรบิก เช่น เดินเร็ว ปั่นจักรยาน หรือว่ายน้ำ อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ ร่วมกับการออกกำลังกายแบบเสริมสร้างกล้ามเนื้อ 2–3 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อเพิ่มการเผาผลาญพลังงานและลดไขมันส่วนเกิน ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวทางของการป้องกันโรคเบาหวาน

การใช้ยา

การใช้ยาลดน้ำตาลในเลือดจะพิจารณาตามชนิดและความรุนแรงของโรค ในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 จำเป็นต้องใช้อินซูลิน ส่วนในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 2 แพทย์อาจเริ่มด้วยยารับประทานและปรับเปลี่ยนตามความจำเป็น การใช้ยาต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ และควรติดตามผลการรักษาอย่างสม่ำเสมอ เพื่อควบคุมอาการของโรคเบาหวานให้คงที่

ภาวะแทรกซ้อนของโรคเบาหวาน

เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะส่งผลเสียต่อหลอดเลือดทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ รวมถึงระบบประสาทและอวัยวะสำคัญของร่างกาย การเข้าใจภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการป้องกันโรคเบาหวาน เพื่อช่วยลดโอกาสเกิดปัญหาสุขภาพรุนแรงในอนาคต

ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลันของโรคเบาหวาน

ภาวะแทรกซ้อนเฉียบพลันเกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว หากไม่ได้รับการรักษาทันท่วงที อาจเป็นอันตรายถึงชีวิต

  • ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) — เกิดเมื่อระดับน้ำตาลต่ำกว่า 70 มก./ดล. ผู้ป่วยอาจมีอาการหน้ามืด เหงื่อออก ใจสั่น หรือหมดสติ ต้องแก้ไขโดยรับประทานคาร์โบไฮเดรตเร็ว เช่น น้ำหวาน หรือผลไม้รสหวานทันที
  • ภาวะคีโตเอซิโดซิส (Diabetic Ketoacidosis) — พบได้บ่อยในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 1 ระดับน้ำตาลสูงร่วมกับการสร้างกรดคีโตน อาการได้แก่ คลื่นไส้ อาเจียน หายใจลึกและเร็ว มีกลิ่นลมหายใจคล้ายผลไม้
  • ภาวะไฮเปอร์ออสโมลาร์ (Hyperosmolar Hyperglycemic State) — มักพบในผู้สูงอายุที่เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 น้ำตาลสูงมากกว่า 600 มก./ดล. อาจทำให้ซึม สับสน หรือหมดสติ

ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังของโรคเบาหวาน

ภาวะแทรกซ้อนเรื้อรังมักเกิดจากการที่ระดับน้ำตาลสูงเป็นเวลานาน ส่งผลเสียต่ออวัยวะสำคัญหลายระบบ

  • ตา — ภาวะเบาหวานขึ้นตา ทำให้เส้นเลือดจอประสาทตาเสียหาย เสี่ยงต่อการตาบอด
  • ไต — ภาวะเบาหวานลงไต ทำให้ไตเสื่อมจนถึงขั้นไตวายเรื้อรัง ต้องฟอกไต
  • เส้นประสาท — ทำให้เกิดอาการชาหรือแสบร้อนปลายมือปลายเท้า เจ็บแปลบคล้ายเข็มทิ่ม
  • หลอดเลือดหัวใจ — เสี่ยงต่อภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด และหัวใจล้มเหลว
  • หลอดเลือดสมอง — เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหลอดเลือดสมองตีบหรือแตก อาจเกิดอัมพฤกษ์ อัมพาต
  • หลอดเลือดส่วนปลาย — ทำให้การไหลเวียนเลือดที่ขาและเท้าลดลง เสี่ยงต่อแผลเรื้อรังและการตัดอวัยวะ

คำแนะนำสำหรับผู้เป็นเบาหวาน

การดูแลตัวเองอย่างสม่ำเสมอเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมอาการคนเป็นเบาหวานและลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน

  • รับประทานอาหารตรงเวลา เน้นอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการ และควบคุมปริมาณแป้งและน้ำตาล
  • ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เลือกกิจกรรมที่เหมาะกับสภาพร่างกาย
  • ตรวจระดับน้ำตาลในเลือดตามคำแนะนำของแพทย์
  • รักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน
  • งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์
  • ตรวจสุขภาพตา ฟัน ไต และเท้าเป็นประจำ
  • ใส่รองเท้าที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการเกิดแผลที่เท้า
  • พักผ่อนให้เพียงพอและลดความเครียด

อ่านบทความ >> กรีกโยเกิร์ต ไม่มีน้ำตาล กับเมนู 3 สไตล์

สรุป โรคเบาหวาน ภัยเงียบที่ต้องรีบรักษา!

โรคเบาหวาน เป็นโรคเรื้อรังที่สามารถควบคุมได้หากตรวจพบเร็วและปฏิบัติตามคำแนะนำทางการแพทย์อย่างเคร่งครัด การเลือกวิถีชีวิตที่ดี เช่น การควบคุมอาหารและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยลดความเสี่ยงและป้องกันภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้ สำหรับผู้ที่ต้องการดูแลสุขภาพในระยะยาว การเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ เช่น นมและโยเกิร์ตออร์แกนิกจาก Butterfly Organic ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดีเพื่อสนับสนุนการควบคุมอาหารและดูแลสุขภาพโดยรวม เริ่มต้นวันนี้เพื่อป้องกันและจัดการกับโรคเบาหวานอย่างมีประสิทธิภาพ

FAQ คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับโรคเบาหวาน

วิธีสังเกตโรคเบาหวาน?

ควรสังเกตอาการเบื้องต้น เช่น ปัสสาวะบ่อย กระหายน้ำมาก น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ และมีอาการอ่อนเพลีย หากพบอาการเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจยืนยัน

โรคเบาหวาน มีกี่ระยะ?

แบ่งเป็นระยะก่อนเป็นเบาหวาน ระยะเป็นเบาหวานแต่ไม่มีภาวะแทรกซ้อน และระยะที่มีภาวะแทรกซ้อน การตรวจพบเร็วจะช่วยให้จัดการได้ง่ายขึ้น

โรคเบาหวานห้ามทานอะไร?

ควรหลีกเลี่ยงอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง อาหารทอดมันจัด และอาหารแปรรูป เพื่อช่วยควบคุมระดับน้ำตาลและลดความเสี่ยงอาการเบาหวานสูง

โรคเบาหวานค่าปกติเท่าไร?

ระดับน้ำตาลในเลือดขณะอดอาหารควรน้อยกว่า 100 มก./ดล. และค่า HbA1C ควรต่ำกว่า 5.7% เพื่ออยู่ในเกณฑ์ปกติ

น้ําตาล 125 เป็นเบาหวานไหม?

ระดับน้ำตาลขณะอดอาหาร 125 มก./ดล. จัดอยู่ในภาวะเสี่ยงสูงหรือก่อนเป็นเบาหวาน ควรปรับพฤติกรรมและติดตามผลการตรวจอย่างใกล้ชิด

เบาหวาน Type 1 และ 2 ต่างกันอย่างไร?

Type 1 เกิดจากภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์สร้างอินซูลิน Type 2 เกิดจากภาวะดื้อต่ออินซูลินร่วมกับการสร้างอินซูลินลดลง ซึ่งพบบ่อยกว่า

โรคเบาหวานหายได้ไหม?

ปัจจุบันโรคเบาหวานยังไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมได้ด้วยการปรับพฤติกรรมและการใช้ยาตามแพทย์สั่ง

โรคเบาหวาน มีกี่ประเภท?

มี 4 ประเภทหลัก ได้แก่
– โรคเบาหวานชนิดที่ 1
– โรคเบาหวานชนิดที่ 2
– โรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์
– โรคเบาหวานที่มีสาเหตุจำเพาะ

บทความล่าสุด

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ Privacy Policy และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า