สารบัญบทความ
Toggleหลายคนคงเคยเจออาการท้องไส้ปั่นป่วน กินยาอะไรก็ยังไม่หาย หรือบางครั้งก็มีอาการท้องเสียสลับท้องผูก ท้องอืด หรือแน่นท้องบ่อย ๆ หากคุณกำลังสงสัยว่าอาจเป็นลำไส้แปรปรวน ลําไส้แปรปรวน วิธีรักษายังไง เพื่อการดูแลตัวเองเกี่ยวกับลำไส้ให้ดีขึ้น วันนี้เราจะมาทำความเข้าใจอาการ สาเหตุ โรคลำไส้แปรปรวน รักษายังไงได้บ้าง และวิธีดูแลตัวเองแบบง่าย ๆ เมื่อมีอาการ หรือลําไส้แปรปรวน ควรกินอะไรในช่วงที่มีอาการ

โรคลำไส้แปรปรวน สาเหตุ และอาการ
โรคลำไส้แปรปรวนมักมีอาการชัดเจน เช่น ท้องเสียสลับท้องผูก ปวดหรือแน่นท้อง รวมถึงท้องอืดจากแก๊สสะสม โดยสาเหตุเกิดจากการบีบตัวของลำไส้ที่ผิดปกติ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับความเครียด การรับประทานอาหารบางชนิด หรือเกิดการติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีปัจจัยอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น ความไม่สมดุลของฮอร์โมน ระบบประสาทที่ไวเกินไป หรือพันธุกรรม ทำให้บางคนเป็นโรคนี้เรื้อรัง และอาจกำเริบได้บ่อย

วิธีรักษาลำไส้แปรปรวน ด้วยตัวเอง
หลายครั้งที่อาการลำไส้แปรปรวน รักษาเบื้องต้นได้ง่าย ๆ และสามารถจัดการได้ด้วยตัวเองก่อนเริ่มใช้ยา เช่น การปรับพฤติกรรมบางอย่างช่วยลดอาการ ลำไส้แปรปรวน อาการต่าง ๆ ได้ชัดเจน โดยเริ่มจากการควบคุมความเครียด เพราะความเครียดทำให้ลำไส้บีบตัว เกิดจากการตอบสนองของระบบประสาท ทำให้เกิดอาการท้องเสียหรือท้องผูก การฝึกหายใจลึก ๆ ทำสมาธิ หรือโยคะช่วยลดความตึงเครียดได้ ต่อมาก็ออกกำลังกายเบา ๆ เช่น เดินวันละ 20–30 นาที หรือโยคะสั้น ๆ ที่ช่วยกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้และระบบขับถ่ายได้ ต่อมาก็ปรับพฤติกรรมให้ดื่มน้ำเพียงพอในทุกวัน วันละ 6-8 แก้ว เพื่อช่วยให้อุจจาระนุ่มขึ้น และหมั่นจดบันทึกอาหาร เพื่อดูว่ากินอาหารชนิดไหนกระตุ้นให้ท้องไส้ปั่นป่วน กินยาอะไรดีขึ้น หรือปรับการกินให้เหมาะสมกับตัวเอง
อาหารอะไรที่เหมาะกับคนลำไส้แปรปรวน
การเลือกอาหารถือเป็นกุญแจสำคัญในการดูแลโรคลำไส้แปรปรวน และช่วยให้อาการดีขึ้น เรามาดูกันว่าหากลำไส้แปรปรวน ควรกินอะไรดี ที่จะเหมาะสมกับการดูแลอาการให้ดีขึ้น

อาหารแนะนำ
อาหารที่เหมาะสำหรับคนที่มีลำไส้แปรปรวนนั้น แบ่งออกได้หลายกลุ่ม ได้แก่
1. ไฟเบอร์ที่ละลายน้ำได้ เช่น ข้าวโอ๊ต กล้วย แอปเปิล แครอท จะมีส่วนช่วยให้อุจจาระนุ่ม ถ่ายคล่อง และลดอาการท้องผูก
2. อาหารย่อยง่าย เช่น ข้าวสวย ไข่ต้ม ผักต้ม และปลาอ่อน ๆ เพื่อลดอาการลำไส้บีบตัว เกิดจากอาหารย่อยยาก
3. อาหารไขมันต่ำ จำพวกเนื้อไก่ไม่ติดมัน ปลา หรือเต้าหู้ เพื่อลดการระคายเคืองลำไส้
4. อาหารที่มีโปรไบโอติกและจุลินทรีย์สูง เช่น โยเกิร์ต นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม หรือกรีกโยเกิร์ต เพื่อช่วยปรับสมดุลลำไส้ และระบบขับถ่ายให้ดีมากขึ้น
อาหารควรหลีกเลี่ยง
อาหารที่ควรงดหรือหลีกเลี่ยง เพื่อป้องกันอาการลำไส้แปรปรวน นั่นก็คือ อาหารประเภทมันจัด ของทอด เครื่องดื่มคาเฟอีนหรือแอลกอฮอล์ รวมทั้งผักบางชนิดที่สามารถสร้างแก๊สในกระเพาะได้ เช่น กะหล่ำปลี ถั่ว และหัวหอม
ตัวอย่างเมนูสำหรับคนลำไส้แปรปรวน
คนที่มีปัญหาลำไส้แปรปรวนควรเลือกอาหารที่ย่อยง่าย อ่อนโยน และไม่กระตุ้นให้เกิดอาการแน่นท้อง เช่น ข้าวโอ๊ตต้มกับกล้วยหั่นเต๋าและน้ำผึ้ง ที่ให้ใยอาหารอ่อนละมุนและพลังงานกำลังดี อีกเมนูคือ ปลาอบสมุนไพรคู่กับข้าวสวยและผักต้ม โปรตีนย่อยง่าย ไขมันต่ำ และยังได้คุณค่าจากสมุนไพรช่วยลดการอักเสบ ส่วนใครอยากได้เมนูเบา ๆ ก็ทานไข่ต้มกับข้าวกล้องและซุปผักย่อยง่าย ช่วยให้ร่างกายได้โปรตีน คาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน และวิตามินจากผักในมื้อเดียว นอกจากนี้ยังมีมันเทศนึ่งกับอกไก่อบและผักนึ่งก็เป็นอีกเมนูที่น่าสนใจ เพราะให้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตและโปรตีนคุณภาพดี แบบไม่หนักท้อง หรือจะเป็นโยเกิร์ตกับผลไม้เนื้อนิ่ม เช่น มะละกอหรือกล้วย ก็ช่วยเสริมโปรไบโอติกและใยอาหารให้ลำไส้ทำงานเป็นปกติได้
ยารักษา ลำไส้แปรปรวน
การใช้ยาสำหรับผู้ที่มีอาการลำไส้แปรปรวน มักขึ้นอยู่กับอาการหลักที่เจอ เช่น ถ้าใครมีอาการท้องเสียบ่อย แพทย์อาจให้ยาลดการเคลื่อนไหวของลำไส้ ลดความถี่ในการขับถ่าย ส่วนคนที่มีอาการท้องผูก แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยาระบายหรือยาที่ช่วยให้อุจจาระนุ่ม ในปริมาณเหมาะสม เพราะถ้ามากเกินไปก็อาจทำให้ท้องเสียแทนได้ อีกกลุ่มหนึ่งคือยาลดการเกร็งของลำไส้ เหมาะกับคนที่ปวดท้องบ่อยเนื่องจากลำไส้บีบตัวผิดจังหวะ ยากลุ่มนี้ช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวและอาการปวดลดลง

สมุนไพร รักษาลำไส้แปรปรวน
นอกจากยาทางการแพทย์แผนปัจจุบันแล้ว ใครที่อยากลองวิธีธรรมชาติ สมุนไพรก็เป็นอีกทางเลือกที่น่าสนใจ อย่างเช่น ขิง ที่ช่วยลดอาการคลื่นไส้ แน่นท้อง และช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น หรือสะระแหน่ (Peppermint) ที่มีน้ำมันหอมระเหย ช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อลำไส้ ลดอาการปวดเกร็ง หรือฟีนูกรีก ที่มีใยอาหารละลายน้ำสูง ช่วยปรับสมดุลระบบขับถ่าย คนที่ท้องผูกหรือต้องการปรับสมดุลลำไส้ก็ชงเป็นเครื่องดื่มร้อนได้ แม้ว่าสมุนไพรเหล่านี้จะไม่ใช่ยารักษาโดยตรง แต่ช่วยบรรเทาอาการให้เบาลง และปลอดภัยสำหรับการดูแลตัวเองเบื้องต้นได้ แต่ควรใช้ในปริมาณที่เหมาะสม
วิธีลดแก๊ส และอาการท้องอืด
วิธีลดแก๊สและอาการท้องอืด เริ่มต้นที่จะทำได้ง่ายด้วยตัวเอง โดยการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดเพื่อลดการกลืนอากาศ ดื่มน้ำอุ่นเพื่อกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อแก๊ส เช่น ถั่ว กะหล่ำปลี หรือหัวหอม และเพิ่มการเคลื่อนไหวด้วยการออกกำลังกายเบา ๆ อย่างการเดินหรือยืดเหยียด จะช่วยให้แก๊สระบายออกได้ดีขึ้น วิธีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยลดความอึดอัดแน่นท้อง แต่ยังช่วยบรรเทาอาการลำไส้แปรปรวนให้จัดการได้ง่ายขึ้นอีกด้วย
คลินิก รักษาลำไส้แปรปรวน ที่ไหนดี
สำหรับคนที่มีอาการลำไส้แปรปรวนรุนแรงหรือไม่ดีขึ้นหลังจากการปรับพฤติกรรมในการดูแลตัวเองแล้ว ควรเข้ารับการรักษากับแพทย์เฉพาะทางด้านระบบทางเดินอาหาร (Gastroenterology) ซึ่งมีทั้งโรงพยาบาลรัฐ โรงพยาบาลเอกชน และคลินิกเฉพาะทาง IBS ให้เลือก โดยควรเลือกสถานพยาบาลที่มีเครื่องมือวินิจฉัยครบถ้วน และทีมแพทย์ที่มีประสบการณ์ เพื่อการรักษาที่ตรงจุดและปลอดภัยมากขึ้น เช่น
- โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ที่ให้บริการส่องกล้องระบบทางเดินอาหาร (Excellence Center for GI Endoscopy) ซึ่งครอบคลุมการตรวจส่องกล้องแบบขั้นสูง
- โรงพยาบาลเมดพาร์ค มีศูนย์ทางเดินอาหารและตับ และให้บริการการตรวจทางเดินอาหารทั่วไปและขั้นสูง เช่น ส่องกล้อง หรือตรวจการเคลื่อนไหวลำไส้
- คลินิกสุขภาพทางเดินอาหาร BDMS Wellness Clinic คลินิกเฉพาะทางดูแลระบบย่อยอาหารที่เหมาะกับผู้ที่ต้องการปรึกษาในระดับคลินิกก่อน
เปรียบเทียบ ยารักษาลำไส้แปรปรวน
ระหว่างการใช้ยาและสมุนไพรรักษาอาการลำไส้แปรปรวน จะพบว่ายาออกฤทธิ์เร็วกว่า เหมาะสำหรับผู้ที่อาการค่อนข้างรุนแรง เช่น ปวดท้องหนัก ๆ หรือท้องเสียเรื้อรัง ที่ต้องการควบคุมอาการเฉียบพลัน แต่ต้องอยู่ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ในขณะที่สมุนไพรออกฤทธิ์อ่อนโยนกว่า เหมาะกับคนที่อยากเน้นการดูแลระยะยาว หรือมีอาการไม่รุนแรงมาก แต่ผลลัพธ์อาจไม่ได้ทันใจเท่ากับยา หากมองในภาพรวม ยารักษา ลำไส้แปรปรวนเหมาะกับการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ส่วนสมุนไพร รักษาลำไส้แปรปรวน จะช่วยเสริมในระยะยาวให้ร่างกายค่อย ๆ ปรับสมดุล ทั้งสองแบบสามารถใช้ร่วมกันได้ ภายใต้การดูแลที่เหมาะสม
ในการรักษาอาจมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกันในแต่ละคน และระดับอาการ รวมทั้งระยะเวลาที่รักษาด้วย โดยราคาคร่าว ๆ สำหรับยาแผนปัจจุบัน จะเริ่มตั้งแต่ 50–500 บาทต่อเดือนขึ้นไป โดยขึ้นกับชนิดและความรุนแรง นอกจากนี้ ยังมีค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ควบคู่กับการรักษาทางการแพทย์ปัจจุบันด้วย เช่น โปรไบโอติกเริ่มต้นที่ 200–1,000 บาทต่อเดือน และสมุนไพร จะอยู่ที่ประมาณ 50–300 บาทต่อเดือนขึ้นไป

โปรไบโอติก รักษาลำไส้แปรปรวน ยี่ห้อไหนดี
อีกตัวช่วยสำคัญในการดูแลลำไส้ นั่นก็คือ โปรไบโอติกที่มีส่วนช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ ลดอาการท้องอืด ปวดท้อง และช่วยให้โรคลำไส้แปรปรวนดีขึ้น ควรเลือกยี่ห้อที่มีสายพันธุ์หลักอย่าง Lactobacillus และ Bifidobacterium หรือสูตรที่พัฒนาเพื่อผู้ที่มีปัญหาของโรคนี้โดยตรง เช่น IBS-Probiotic และควรรับประทานอย่างต่อเนื่องตามคำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ Butterfly Organic Greek Yogurt ก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยที่ดี เพราะอุดมไปด้วยโปรไบโอติกสายพันธุ์มีประโยชน์จากการบ่มธรรมชาติ ช่วยปรับสมดุลลำไส้ และช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานเป็นจังหวะสม่ำเสมอ แถมยังทานร่วมกับอาหารประจำวันเพื่อช่วยเสริมสุขภาพลำไส้ให้แข็งแรงได้ยาวนานอีกด้วย

การเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมช่วยลดค่าใช้จ่ายระยะยาวและทำให้ลำไส้แปรปรวนหายได้เร็วขึ้น ลดความเสี่ยงในการเกิดซ้ำ เพราะในหลายคนที่เคยมีประสบการณ์เรื่องนี้มาก็ได้รับผลกระทบทั้งทางกาย และใจจากการเจ็บป่วย แต่ลำไส้แปรปรวนสามารถจัดการได้ไม่อยาก โดยเริ่มจากปรับพฤติกรรมการกิน การใช้ยา สมุนไพร หรือโปรไบโอติก รวมทั้งติดตามอาการและเลือกคลินิกที่เชื่อถือได้ช่วยให้อาการลำไส้แปรปรวน รักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ สุดท้าย การสังเกตอาการและรู้จักตัวเองจะทำให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย
คำถามที่พบบ่อย เกี่ยวกับลำไส้แปรปรวน
อาการที่บ่งบอกคือ ปวดท้องเรื้อรัง สลับกับท้องเสียหรือท้องผูก โดยมักดีขึ้นหลังถ่าย ไม่มีแผลหรืออักเสบจริง ๆ ในลำไส้เหมือนโรคอื่น แพทย์มักวินิจฉัยโดยตัดโรคอื่นออกก่อน
ขึ้นอยู่กับอาการหลัก เช่น ถ้าท้องเสียบ่อยอาจใช้ยาลดการบีบตัวของลำไส้หรือยาลดถ่ายเหลว ถ้าท้องผูกบ่อยใช้ยาระบายอ่อน ๆ หรือไฟเบอร์เสริม นอกจากนี้อาจใช้ยาลดแก๊ส ยาคลายกังวล หรือโปรไบโอติกช่วย
เริ่มจากปรับอาหาร โดยเน้นผัก ผลไม้ หรือธัญพืชที่ย่อยง่าย รวมทั้งลดคาเฟอีน แอลกอฮอล์ อาหารมันหรือเผ็ด ควบคู่กับการพักผ่อนให้พอ ลดความเครียด และออกกำลังกายสม่ำเสมอ
สาเหตุอาจเกิดจากการที่ลำไส้ไวต่อการกระตุ้น ทำให้อาหารหรือเครื่องดื่มบางชนิด เช่น กาแฟ นม อาหารมัน หรืออาหารเผ็ด กระตุ้นการบีบตัวจนเกิดการถ่ายเร็วผิดปกติ
ควรกินตามคำแนะนำของแพทย์หรือเภสัชกร โดยทั่วไปมักรับประทานก่อนอาหารหรือก่อนนอน เพื่อช่วยให้ระบบขับถ่ายสมดุล ควรทานต่อเนื่องและสังเกตผลกับร่างกาย





