สารบัญบทความ
Toggleคุณเคยสงสัยไหมว่า ทำไมบางคนกินเหมือนกัน แต่สุขภาพกลับต่างกัน? คำตอบอาจอยู่ที่สิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในร่างกายที่เรียกว่า ไมโครไบโอม (Microbiome) ซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อระบบย่อยอาหาร ภูมิคุ้มกัน ไปจนถึงสุขภาพจิต บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักว่า Microbiome คืออะไรและทำไมไบโอมจึงไม่ใช่แค่คำศัพท์วิทยาศาสตร์ แต่เป็นกุญแจสู่สุขภาพที่ดีในระยะยาว หากคุณยังไม่เคยให้ความสำคัญกับ Microbiome ตอนนี้อาจถึงเวลาที่คุณควรเริ่มใส่ใจอย่างจริงจัง
ไบโอมคืออะไร มีความสําคัญต่อการดํารงชีวิตอย่างไร

ไบโอมคืออะไร Microbiome ไมโครไบโอมของมนุษย์ คือ กลุ่มจุลินทรีย์ทั้งหมดที่อาศัยอยู่ในร่างกายของมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นในลำไส้ ปาก ผิวหนัง หรืออวัยวะอื่น ๆ โดยเฉพาะ จุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งมีจำนวนมากถึง 100 ล้านล้านเซลล์และมีความสำคัญต่อการย่อยอาหาร ดูดซึมสารอาหาร การสร้างภูมิคุ้มกัน รวมถึงการควบคุมอารมณ์ ไมโครไบโอมมีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์มากกว่าที่คิด โดยประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตหลายชนิด เช่น แบคทีเรีย (Bacteria), ไวรัส (Virus), เชื้อรา (Fungi), โปรโตซัว (Protozoa)
Gut Microbiome คืออะไร? รู้จักตำแหน่งที่ซ่อนจุลินทรีย์สำคัญในร่างกาย

Gut Microbiome คือ กลุ่มจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร โดยเฉพาะในลำไส้ใหญ่ ซึ่งถือว่าเป็นแหล่งรวมของไมโครไบโอมที่ใหญ่ที่สุดในร่างกายมนุษย์ จุดที่มีความหนาแน่นมากที่สุด ได้แก่
1. ลำไส้ใหญ่ (Gut)
แหล่งหลักของ Gut Microbiome ซึ่งเป็นที่อยู่ของจุลินทรีย์หลายร้อยสายพันธุ์ช่วยย่อยใยอาหารและสร้างสารที่ดีต่อร่างกาย
2. ช่องปาก
มี Microbiome ชนิดเฉพาะที่ช่วยย่อยอาหารตั้งแต่ต้นทางและปกป้องไม่ให้เชื้อก่อโรคเข้าสู่ร่างกายผ่านปาก
3. ผิวหนัง
ทำหน้าที่เป็นเกราะป้องกันโดยจุลินทรีย์บนผิวช่วยรักษาความสมดุลของค่า pH และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรค
4. ช่องคลอด (ในเพศหญิง)
มี Microbiome ที่ช่วยรักษาความเป็นกรด-ด่างและป้องกันการติดเชื้อ เช่น Lactobacillus Spp.
5. ทางเดินหายใจ
โดยเฉพาะในโพรงจมูกและลำคอ จุลินทรีย์ในบริเวณนี้มีบทบาทในการป้องกันโรคทางเดินหายใจ
ส่วนประกอบหลักของ Microbiome ที่ควรรู้
ไมโครไบโอม คือ กลุ่มจุลินทรีย์ขนาดเล็กที่อาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์ ทั้งในลำไส้ ปาก ผิวหนังและอวัยวะอื่น ๆ ซึ่งมองไม่เห็นด้วยตาเปล่า จุลินทรีย์เหล่านี้มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของร่างกายทุกระบบ โดยเฉพาะระบบย่อยอาหาร ภูมิคุ้มกันและสุขภาพจิต ส่วนประกอบหลักของไมโครไบโอม ได้แก่ แบคทีเรีย (Bacteria) เป็นส่วนประกอบหลัก, ไวรัส (Viruses) ส่วนใหญ่เป็นไวรัสที่ไม่ก่อโรค, เชื้อรา (Fungi) เช่น Candida ที่พบได้ในลำไส้และผิวหนัง, โพรโตซัว (Protozoa) , Archaea สิ่งมีชีวิตเซลล์เดียวคล้ายแบคทีเรีย พบได้ในลำไส้ใหญ่
บทบาทและความสำคัญของ Microbiome ต่อสุขภาพ
ไมโครไบโอม (Microbiome) ไม่ได้เป็นเพียงกลุ่มจุลินทรีย์ที่อาศัยอยู่ในร่างกายเท่านั้น แต่ยังทำหน้าที่เหมือนศูนย์ควบคุมสุขภาพแบบล่องหนที่เชื่อมโยงกับระบบต่าง ๆ ของร่างกายอย่างลึกซึ้ง
1. ช่วยในกระบวนการย่อยอาหารและดูดซึมสารอาหาร
- ย่อยใยอาหารที่ร่างกายย่อยเองไม่ได้
- ผลิตกรดไขมันสายสั้น
- สร้างเอนไซม์และวิตามินบางชนิด
2. เสริมระบบภูมิคุ้มกัน
- กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว ช่วยฝึกระบบภูมิคุ้มกันให้แยกแยะสิ่งที่เป็นอันตรายออกจากสิ่งปกติ
- ป้องกันการติดเชื้อ โดยแข่งขันกับเชื้อโรคในการเกาะผนังลำไส้
- ผลิตสารต้านจุลชีพเพื่อควบคุมเชื้อที่เป็นอันตราย
3. เชื่อมโยงกับสมองและอารมณ์ผ่าน Gut-Brain Axis
- ผลิตสารสื่อประสาทที่มีผลต่ออารมณ์และความเครียด
- ช่วยลดความเสี่ยงของภาวะซึมเศร้า วิตกกังวลและปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ
- มีงานวิจัยพบความเกี่ยวข้องระหว่าง Microbiome กับโรคออทิสติกและพาร์กินสัน
4. ควบคุมน้ำหนักและการเผาผลาญ
- Microbiome บางชนิดส่งผลต่อการเก็บไขมัน การควบคุมความหิว และการใช้น้ำตาล
- ความไม่สมดุลของ Microbiome เชื่อมโยงกับโรคอ้วน เบาหวานชนิดที่ 2 และกลุ่มอาการอ้วนลงพุง
5. ลดการอักเสบเรื้อรังในร่างกาย
- Gut microbiome ที่ดีสามารถควบคุมปฏิกิริยาการอักเสบในลำไส้และส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย
- ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง เช่น โรคลำไส้อักเสบ (IBD), ข้ออักเสบ, โรคหัวใจ และมะเร็งบางชนิด
6. ช่วยรักษาสุขภาพผิว
- Microbiome ที่ผิวหนังมีบทบาทในการป้องกันเชื้อก่อโรค และรักษาสมดุลของค่า pH
- ความไม่สมดุลอาจส่งผลต่อสิว ผื่นแพ้ หรือโรคผิวหนังเรื้อรัง
เมื่อไมโครไบโอมไม่สมดุล จะเกิดอะไรขึ้น?

ภาวะไมโครไบโอมไม่สมดุล (Microbiome Imbalance) คือการที่จุลินทรีย์ดีในร่างกายลดลง ขณะที่จุลินทรีย์ก่อโรคเพิ่มขึ้น ส่งผลให้สมดุลของระบบจุลชีพในร่างกายเสียไป ซึ่งอาจกระทบต่อสุขภาพในหลายระดับ ตั้งแต่ระบบย่อยอาหารไปจนถึงระบบประสาท ผลกระทบของ Microbiome ที่ไม่สมดุล เช่น
1. ปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินอาหาร
ท้องอืด, ท้องผูก, ท้องเสีย, ลำไส้แปรปรวน, ลำไส้อักเสบหรือโรคโครห์น, อาการกรดไหลย้อนเรื้อรัง
2. ภูมิคุ้มกันอ่อนแอลง
ป่วยง่าย, ติดเชื้อบ่อย, อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคภูมิแพ้, โรคแพ้ภูมิตนเอง, ข้ออักเสบรูมาตอยด์, น้ำหนักขึ้นง่ายหรือควบคุมน้ำหนักยาก
3. การเผาผลาญแปรปรวน
ร่างกายเก็บไขมันมากขึ้น, ความอยากอาหารที่ผิดปกติโดยเฉพาะของหวานและแป้ง
4. อารมณ์และสุขภาพจิตเปลี่ยนแปลง
ความเครียด, วิตกกังวลหรือซึมเศร้า, สมาธิลดลง, รู้สึกเบลอ, นอนไม่หลับหรือคุณภาพการนอนต่ำ
5. ผิวพรรณแย่ลง
เกิดสิว, ผื่นแพ้, ผิวหนังอักเสบ, อาการผิวแห้ง ลอก หรือไวต่อสิ่งกระตุ้นมากขึ้น
6. กลิ่นตัวหรือกลิ่นปากผิดปกติ
Microbiome ในช่องปากและผิวหนังที่ไม่สมดุล อาจก่อให้เกิดกลิ่นไม่พึงประสงค์
ปัจจัยที่ส่งผลต่อความหลากหลายของไมโครไบโอม
ความหลากหลายของไมโครไบโอม (Microbiome Diversity) เป็นตัวชี้วัดสุขภาพที่สำคัญ ยิ่งร่างกายมีจุลินทรีย์หลายสายพันธุ์ที่ทำงานร่วมกันอย่างสมดุล ก็ยิ่งช่วยส่งเสริมระบบย่อยอาหาร ภูมิคุ้มกันและสุขภาพโดยรวมได้ดีขึ้น ความหลากหลายนี้สามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดชีวิต ขึ้นอยู่กับพฤติกรรมการใช้ชีวิตและสภาพแวดล้อม ปัจจัยที่ส่งผลต่อความหลากหลายของไมโครไบโอม ได้แก่ อาหารที่รับประทานเป็นประจำ, การใช้ยาปฏิชีวนะและยาบางชนิด, ความเครียดและสภาวะอารมณ์, คุณภาพและเวลาการนอนหลับ, วิถีชีวิตและสิ่งแวดล้อมรอบตัว, วิธีคลอดและการเลี้ยงดูในวัยเด็ก
การดูแลและปรับสมดุล Microbiome ให้มีประสิทธิภาพ

หากคุณรู้สึกว่าระบบย่อยอาหารทำงานผิดปกติหรือภูมิคุ้มกันอ่อนแอโดยไม่ทราบสาเหตุ ปัญหาอาจไม่ได้เริ่มจากอวัยวะใหญ่ ๆ แต่อาจเกิดจาก สมดุลของ Microbiome ถูกรบกวน การปรับจุลินทรีย์ในลำไส้ให้สมดุลไม่ใช่เรื่องยาก เพียงเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันอย่างต่อเนื่อง แนวทางสำคัญที่จะช่วยดูแลและฟื้นฟู Microbiome ให้แข็งแรงและมีความหลากหลายมากขึ้น ได้แก่
1. เพิ่มใยอาหารในทุกมื้ออาหาร
เลือกกินผักหลากสี ธัญพืชเต็มเมล็ด และผลไม้ไม่หวานจัด ใยอาหารช่วยเป็นอาหารให้จุลินทรีย์ดี
2. กินอาหารหมักดองเป็นประจำ
เช่น โยเกิร์ต กิมจิ นัตโตะ มิโสะ คอมบูฉะ ฯลฯ โปรไบโอติกในอาหารเหล่านี้ช่วยเพิ่มจุลินทรีย์ดีในระบบทางเดินอาหาร
3. เสริมพรีไบโอติก (Prebiotics)
พรีไบโอติกคือเส้นใยชนิดพิเศษที่กระตุ้นการเจริญของจุลินทรีย์ดี
4. หลีกเลี่ยงน้ำตาลและอาหารแปรรูป
ลดอาหารน้ำตาลสูง อาหารฟาสต์ฟู้ด ของทอดและเครื่องดื่มรสหวาน ส่งผลให้จุลินทรีย์ก่อโรคเติบโต
5. นอนหลับให้เพียงพอและเป็นเวลา
พยายามเข้านอนและตื่นในเวลาเดิมทุกวัน จะช่วยให้จุลินทรีย์ดีทำงานสอดคล้องกับระบบภายใน
6. ลดความเครียดในชีวิตประจำวัน
ใช้เทคนิคผ่อนคลายช่วยลดการหลั่งฮอร์โมนความเครียดที่อาจรบกวนไมโครไบโอม
7. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
งานวิจัยชี้ว่าการออกกำลังกายปานกลาง 30 นาทีต่อวันก็สามารถเพิ่มความหลากหลายของไมโครไบโอมได้
8. ใช้ผลิตภัณฑ์ฆ่าเชื้ออย่างมีสติ
หลีกเลี่ยงการใช้เจลล้างมือหรือสบู่ฆ่าเชื้อตลอดเวลาโดยไม่จำเป็น เพราะอาจทำลาย Microbiome บนผิว
ความก้าวหน้าของการวิจัย Microbiome ในอนาคต

ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาวงการแพทย์และวิทยาศาสตร์ชีวภาพได้ให้ความสำคัญกับการศึกษา Microbiome อย่างจริงจัง โดยเฉพาะ Gut Microbiome หรือจุลินทรีย์ในลำไส้ ซึ่งมีบทบาทเกินกว่าที่เคยคาดคิด โดยมีความก้าวหน้าหลัก ๆ ดังนี้
1. เทคโนโลยีวิเคราะห์จีโนมขั้นสูง (Metagenomics & 16S rRNA Sequencing)
ปัจจุบันนักวิจัยสามารถถอดรหัสพันธุกรรมของจุลินทรีย์นับพันชนิดได้อย่างแม่นยำภายในเวลาอันสั้น ทำให้สามารถระบุชนิดและหน้าที่ของจุลินทรีย์ใน Microbiome ได้อย่างละเอียด
2. การเชื่อมโยง Microbiome กับโรคเรื้อรัง
งานวิจัยจำนวนมากชี้ให้เห็นว่า Microbiome ที่ไม่สมดุล (Dysbiosis) มีความเกี่ยวข้องกับโรคเรื้อรังหลายชนิด
3. การวิจัยการสื่อสารระหว่างลำไส้กับสมอง (Gut-Brain Axis)
พบว่า Microbiome สามารถผลิตสารสื่อประสาททำให้เกิดแนวทางใหม่ในการรักษาโรคทางจิตเวชด้วยการปรับสมดุลลำไส้
4. การปลูกถ่าย Microbiome (Fecal Microbiota Transplant – FMT)
เป็นเทคนิคการนำ Microbiome จากคนสุขภาพดีไปใส่ในร่างกายของผู้ป่วย โดยเฉพาะในการรักษาการติดเชื้อ Clostridioides Difficile และโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง
5. การพัฒนาผลิตภัณฑ์ Probiotic และ Prebiotic แบบเฉพาะบุคคล (Personalized Microbiome Therapy)
นักวิทยาศาสตร์เริ่มพัฒนาอาหารเสริมที่ออกแบบตาม Microbiome เฉพาะบุคคล เพื่อให้ผลลัพธ์ในการรักษาและดูแลสุขภาพแม่นยำยิ่งขึ้น
6. การวิเคราะห์ Microbiome เพื่อทำนายโรคในอนาคต (Predictive Biomarkers)
Microbiome ถูกนำมาใช้เป็นดัชนีชี้วัดสุขภาพล่วงหน้า
สรุป
Microbiome คือกลุ่มของจุลินทรีย์นับล้านที่อาศัยอยู่ในร่างกายมนุษย์ โดยเฉพาะในระบบทางเดินอาหารซึ่งมีบทบาทสำคัญต่อสุขภาพในหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็นการย่อยอาหาร การเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ไปจนถึงการควบคุมอารมณ์และสมอง ความหลากหลายและสมดุลของ Microbiome ส่งผลโดยตรงต่อการทำงานของร่างกาย การดูแลไมโครไบโอมจึงเป็นกุญแจสำคัญของการมีสุขภาพที่ดีในระยะยาว เสริมสร้างจุลินทรีย์ดีให้กับร่างกายด้วยการเสริมพรีไบโอติกจาก Butterfly Organic
คำถามที่พบบ่อย (FAQs)
Microbiome ช่วยย่อยอาหาร เสริมภูมิคุ้มกัน สร้างสารต้านอักเสบและควบคุมสมดุลในร่างกาย เช่น การทำงานของลำไส้และสมอง
ลำไส้ใหญ่ คืออวัยวะที่มี Microbiota มากที่สุด เป็นแหล่งรวมจุลินทรีย์กว่า 100 ล้านล้านตัว
ไมโครไบโอต้า (Microbiota) คือจุลินทรีย์ทุกชนิดที่อาศัยอยู่ในร่างกาย เช่น แบคทีเรีย ยีสต์ และไวรัส
Microbiome ทำหน้าที่ควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน สังเคราะห์วิตามิน ปรับสมดุลการเผาผลาญและสื่อสารกับระบบประสาท
ไบโอม คือระบบนิเวศของสิ่งมีชีวิตในพื้นที่หนึ่ง เช่น ป่า ทะเล หรือร่างกายมนุษย์ ซึ่งมีความสำคัญต่อความหลากหลายและการดำรงชีวิตของทุกสปีชีส์ รวมถึงมนุษย์ด้วย





