ภาวะแพ้แลคโตส ห้ามกินอะไรบ้าง คืออะไร และดูแลตัวเองอย่างไร

Picture of Editor

Editor

ทุกวันนี้ผลิตภัณฑ์จากนมอยู่รอบตัวเรามากกว่าที่คิด ตั้งแต่แก้วกาแฟยามเช้า ขนมหวานมื้อบ่าย ไปจนถึงซุปครีมในมื้อเย็น แต่สำหรับบางคนการดื่มนมหรือรับประทานผลิตภัณฑ์นมกลับนำมาซึ่งปัญหาไม่พึงประสงค์อย่างท้องอืดปวดท้อง หรือแม้แต่ท้องเสีย เพราะพวกเขากำลังเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่าภาวะแพ้แลคโตส (Lactose Intolerance) แม้จะไม่ใช่โรคร้ายแรง แต่การแพ้แลคโตสก็ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก เราจึงควรรู้จักเข้าใจสาเหตุ อาการ และวิธีดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง เพื่อให้เลือกผลิตภัณฑ์นมที่เหมาะสมได้ด้วย เช่น นมพืช นมออร์แกนิค หรือโยเกิร์ตออร์แกนิกที่ผ่านกระบวนการย่อยแลคโตสตามธรรมชาติ

สำหรับบทความนี้ จะพาทุกคนไปรู้จักกับภาวะแพ้แลคโตสอย่างละเอียด ตั้งแต่สาเหตุ อาการ การรักษา ไปจนถึงสิ่งที่ควรกิน และหลีกเลี่ยง พร้อมตอบคำถามยอดฮิต เช่น แพ้แลคโตส ห้ามกินอะไร ? แพ้แลคโตส กินยาอะไร ? แพ้แลคโตส กินอะไรได้บ้าง ?

แลคโตสคืออะไร พบได้ในอะไรบ้าง? 

แม้หลายคนจะรู้จักแลคโตสในฐานะน้ำตาลในนม แต่ในชีวิตประจำวันจริง ๆ แลคโตสไม่ได้มีแค่ในแก้วนมเพียงอย่างเดียว เราสามารถพบแลคโตสแฝงอยู่ในอาหารและผลิตภัณฑ์หลากหลายชนิด โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมอาหารที่มักใช้ผลิตภัณฑ์จากนมหรือแลคโตสเป็นส่วนประกอบในการเพิ่มเนื้อสัมผัส กลิ่น รสชาติ และความคงตัวของอาหาร และยังพบแลคโตสได้ในหลากหลายอาหารไม่ว่าจะเป็น

  1. นมวัวและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมสด นมพร่องมันเนย เนย ครีม ไอศกรีม โยเกิร์ต ชีสบางชนิด
  2. ขนมหวานและเบเกอรี่ เช่น เค้ก คุกกี้ ช็อกโกแลต ขนมปังบางชนิด พุดดิ้ง คัสตาร์ด
  3. อาหารสำเร็จรูปและของแปรรูป เช่น ซุปกึ่งสำเร็จรูป ซอสปรุงรส ไส้กรอก แฮม มายองเนสบางสูตร
  4. ยาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบางชนิด ยาหลายตัวใช้แลคโตสเป็นสารเติมแต่ง (Excipient) ในเม็ดยา
  5. อาหารเสริมโปรตีน เช่น เวย์โปรตีนที่ไม่ได้แยกแลคโตสออก (Whey concentrate)

ทำไมต้องรู้แหล่งที่มาของแลคโตส ?

เนื่องจากหลายครั้งผู้ที่มีภาวะแพ้แลคโตสมักเข้าใจผิดว่าหลีกเลี่ยงนมอย่างเดียวก็เพียงพอ แต่ก็ยังเกิดคำถามว่าแพ้แลคโตส อันตรายไหม ทั้งที่จริงแล้วแลคโตสสามารถแฝงมาในอาหารทั่วไปได้โดยไม่รู้ตัว การอ่านฉลากโภชนาการและส่วนประกอบจึงเป็นเรื่องสำคัญ รวมถึงควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคำว่า “Lactose-Free” หรือ “ปราศจากแลคโตส” อย่างชัดเจน

ประเภทของอาการแพ้แลคโตส

จริง ๆ แล้วภาวะแพ้แลคโตส ไม่ได้หมายถึง การแพ้ในความหมายของอาการภูมิแพ้ (Allergy) แต่เป็นความผิดปกติในการย่อยน้ำตาลแลคโตส เพราะร่างกายขาดเอนไซม์แลคเตส (Lactase) ซึ่งทำหน้าที่ย่อยแลคโตสในลำไส้เล็ก เมื่อแลคโตสไม่ได้ถูกย่อยจึงเกิดอาการไม่สบายท้องตามมา โดยแบ่งประเภทของภาวะนี้ออกเป็น 3 แบบหลัก ๆ ดังนี้

1. Primary Lactose Intolerance หรือภาวะแพ้แลคโตสโดยธรรมชาติ

พบได้บ่อยที่สุดในผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในกลุ่มคนเอเชีย รวมถึงคนไทย ซึ่งเกิดจากการที่เอนไซม์แลคเตสลดลงเองตามอายุหลังหย่านมแม่ ทำให้ความสามารถในการย่อยแลคโตสลดลงไปเรื่อย ๆ

2. Secondary Lactose Intolerance หรือภาวะแพ้แลคโตสจากสาเหตุอื่น

 ซึ่งเกิดจากการเจ็บป่วยหรือมีภาวะที่กระทบต่อเยื่อบุลำไส้เล็ก เช่น ลำไส้อักเสบ การติดเชื้อไวรัสบางชนิด และภาวะลำไส้เล็กเสียหาย หลังจากรักษาโรคต้นเหตุจนลำไส้ฟื้นตัว อาการแพ้แลคโตสมักจะดีขึ้นหรือหายไป

3. Congenital Lactase Deficiency หรือภาวะขาดเอนไซม์แลคเตสตั้งแต่กำเนิด 

เป็นภาวะหายากที่เกิดขึ้นตั้งแต่แรกเกิด เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตเอนไซม์แลคเตสได้เลย ทำให้เด็กมีอาการตั้งแต่เริ่มรับนมแม่ ต้องได้รับการดูแลทางโภชนาการเฉพาะอย่างใกล้ชิด

4. Developmental Lactase Deficiency หรือภาวะขาดเอนไซม์แลคเตสในทารกคลอดก่อนกำหนด

ระบบย่อยยังเจริญไม่เต็มที่ อาจผลิตเอนไซม์แลคเตสได้ไม่พอในช่วงแรก แต่ภาวะนี้มักดีขึ้นเมื่อเด็กโตขึ้น

อาการแสดงของภาวะแพ้แลคโตส

เมื่อร่างกายขาดเอนไซม์แลคเตสในการย่อยน้ำตาลแลคโตสที่อยู่ในผลิตภัณฑ์นม น้ำตาลแลคโตสที่ย่อยไม่หมดจะถูกส่งไปยังลำไส้ใหญ่ ซึ่งแบคทีเรียในลำไส้จะทำการหมักและย่อยแทน ส่งผลให้เกิดอาการต่าง ๆ ตามมา โดยอาการสามารถเกิดขึ้นภายใน 30 นาที ถึง 2 ชั่วโมงหลังรับประทานอาหารที่มีแลคโตสเข้าไป ดังนี้

  1. อาการทางระบบทางเดินอาหาร ได้แก่
    • ท้องอืด โดยเกิดจากการหมักแลคโตสจนเกิดแก๊สในลำไส้
    • ปวดท้อง หรือแน่นท้อง ซึ่งมักเป็นอาการบีบเกร็งของลำไส้เนื่องจากแรงดันจากแก๊สที่เกิดขึ้น
    • ท้องเสีย เพราะน้ำตาลแลคโตสที่ไม่ถูกดูดซึมจะดึงน้ำเข้าสู่ลำไส้ ทำให้เกิดอาการถ่ายเหลว
    • ผายลมบ่อย เนื่องจากแก๊สที่สร้างโดยแบคทีเรียในลำไส้
    • คลื่นไส้หรืออาเจียน อาจพบในบางรายที่ไวต่ออาการมาก
  2. อาการที่อาจพบร่วมกัน แม้อาการหลักจะเกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร แต่บางรายอาจรู้สึกอ่อนเพลีย มึนศีรษะ หรือมีอาการคล้ายอาหารไม่ย่อย เนื่องจากร่างกายพยายามปรับสมดุลจากความไม่สบายในช่องท้อง
  3. ระดับความรุนแรงแตกต่างกันในแต่ละคน โดยในบางคนอาจมีอาการชัดเจนแม้รับประทานแลคโตสเพียงเล็กน้อย บางคนอาจทนได้ในปริมาณหนึ่งโดยไม่มีอาการ ซึ่งปริมาณแลคโตสที่ทำให้เกิดอาการแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล
  4. จุดสังเกตสำคัญ โดยอาการมักสัมพันธ์กับการกินผลิตภัณฑ์นม เช่น นมวัว ชีส เนย โยเกิร์ต หรือไอศกรีม อาการจะทุเลาลงเมื่อหลีกเลี่ยงอาหารที่มีแลคโตส

ขั้นตอนการวินิจฉัยอาการแพ้แลคโตส

แม้ว่าอาการของภาวะแพ้แลคโตสจะค่อนข้างชัดเจน แต่เพื่อตรวจสอบให้แน่ชัดว่าปัญหามาจากแลคโตสจริงหรือไม่ แพทย์มักจะใช้วิธีการวินิจฉัยหลายรูปแบบ มาดูกันว่าเราจะรู้ได้อย่างไรบ้างว่าแพ้แลคโตสจริง

  1. การลองงดอาหารที่มีแลคโตส ซึ่งเป็นวิธีง่ายที่นิยมใช้ คือให้ผู้ป่วยงดอาหารที่มีแลคโตสทั้งหมดชั่วคราว หากอาการดีขึ้นอย่างชัดเจนเมื่อหยุดกิน ก็อาจระบุได้ว่าแลคโตสเป็นสาเหตุของอาการนั้น
  2. การทดสอบน้ำตาลแลคโตสในลมหายใจ (Hydrogen breath test) เป็นวิธีมาตรฐานในการวินิจฉัย โดยให้ผู้ป่วยดื่มน้ำผสมแลคโตส จากนั้นจะวัดระดับไฮโดรเจนในลมหายใจ หากพบว่าระดับสูงขึ้นมาก แสดงว่าร่างกายไม่สามารถย่อยแลคโตสได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  3. การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังดื่มแลคโตส (Lactose tolerance test) คือการวัดระดับกลูโคสในเลือดหลังจากกินแลคโตส ถ้าร่างกายย่อยแลคโตสได้ไม่ดี ระดับน้ำตาลในเลือดจะไม่เพิ่มขึ้นตามปกติ
  4. การตรวจทางพันธุกรรม เป็นการตรวจหาความผิดปกติของยีนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตเอนไซม์แลคเตส นิยมใช้ในบางกรณีที่ต้องการวินิจฉัยเชิงลึก

การรักษาอาการแพ้แลคโตส

การรักษาหลัก คือการควบคุมอาหาร แต่ก็ยังมีวิธีการดูแลตัวเองได้ด้วย ไม่ว่าจะเป็น

  1. ปรับลดปริมาณแลคโตส โดยหลีกเลี่ยงนมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีแลคโตสสูง เช่น นมสด เนยบางชนิด ไอศกรีม
  2. เลือกผลิตภัณฑ์นมทางเลือก เช่น
    • นมปราศจากแลคโตส (Lactose-Free)
    • นมออร์แกนิคที่ผ่านการย่อยแลคโตสบางส่วน เช่น นมและโยเกิร์ตออร์แกนิค Butterfly Organic ซึ่งมีแบคทีเรียช่วยย่อยแลคโตสตามธรรมชาติ
    • นมจากพืช เช่น นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง นมโอ๊ต

3. ทานเอนไซม์แลคเตสเสริม สำหรับบางคนสามารถใช้ยาที่ช่วยย่อยแลคโตสก่อนทานอาหาร

4. เสริมแคลเซียมและวิตามินดี โดยการทานอาหารเสริมหรืออาหารทางเลือกที่มีสารอาหารครบถ้วน

วิธีป้องกันภาวะแพ้แลคโตส

แม้จะไม่สามารถป้องกันการเกิดภาวะแพ้แลคโตสแบบแต่กำเนิดได้ แต่เราลดความรุนแรงของอาการนี้ได้ ไม่ว่าจะเป็น

  1. เช็กอาการตัวเองหลังรับประทานนมวัว หรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนมวัว
  2. ค่อย ๆ เพิ่มปริมาณแลคโตสทีละน้อยให้ร่างกายปรับตัว
  3. เลือกโยเกิร์ตหรือนมวัวออร์แกนิคที่มีแบคทีเรียช่วยย่อยแลคโตสได้ดี
  4. ตรวจสุขภาพลำไส้อย่างสม่ำเสมอ

ภาวะแพ้แลคโตสเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยกว่าที่หลายคนคิด และสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกช่วงวัย แม้จะไม่ใช่ภาวะที่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิต และทำให้รู้สึกไม่สบายตัวได้ ทั้งในเรื่องของระบบทางเดินอาหาร รวมถึงความกังวลในการเลือกอาหารในชีวิตประจำวัน การที่เรารู้ว่าเราแพ้แลคโตส ทำให้เราดูแลตัวเองได้ดีขึ้น รู้ว่าเราห้ามกินอะไร สังเกตอาการตัวเองอย่างไรได้บ้าง ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีในการดูแลตัวเอง นอกจากนี้ สำหรับผู้ที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกับภาวะนี้ การปรับพฤติกรรมการกินและเลือกผลิตภัณฑ์ทางเลือกที่ดี เช่น นมออร์แกนิค หรือนมที่ปราศจากแลคโตส หรือโยเกิร์ตออร์แกนิค จึงเป็นทางเลือกสำคัญ อย่างเช่น Butterfly Organic เอง ก็พัฒนาผลิตภัณฑ์นมและโยเกิร์ตออร์แกนิคที่ใส่ใจในทุกขั้นตอนการผลิต ตั้งแต่การเลี้ยงวัวไปจนถึงการรับรองมาตรฐาน USDA เพื่อให้ทุกคนสามารถบริโภคผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง ปลอดภัย และเหมาะกับทุกความต้องการทางสุขภาพ

คำถามที่พบบ่อย

แลคโตส มีในอะไรบ้าง

แหล่งอาหารที่สามารถพบแลกโตสได้ตามธรรมชาติ ได้แก่ นมวัว  นมแพะ นมแกะ ชีส โยเกิร์ต (บางชนิด) เนย หรืออาหารแปรรูปบางชนิด อย่างเช่น ซอส คุกกี้ และขนมปัง

แพ้แลคโตส อันตรายไหม

ส่วนใหญ่ไม่อันตรายถึงชีวิต แต่มีอาการที่ทำให้ไม่สบายตัว เช่น ท้องอืด ปวดท้อง แน่นท้อง ท้องเสีย หรือมีแก๊สในกระเพาะอาหาร เนื่องจากร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสได้อย่างสมบูรณ์ ทำให้แบคทีเรียในลำไส้ใหญ่ทำการหมักแลคโตสแทน จนเกิดอาการผิดปกติดังกล่าว

เด็กแพ้แลคโตส แก้ยังไง

การแพ้แลคโตสในเด็ก แก้ได้โดยการเปลี่ยนให้เด็กมาดื่มนมเป็นสูตรไม่มีแลคโตส (Lactose-free formula) หรือดื่มนมพืช อย่าง นมถั่วเหลือง นมข้าว นมอัลมอนด์ แต่หากมีอาการแพ้ที่ดูรุนแรง สามารถปรึกษาแพทย์สำหรับคำแนะนำเฉพาะ หรือนักโภชนาเพื่อปรับพฤติกรรมการกินได้

แพ้แลคโตส กินอะไรได้บ้าง

สำหรับคนที่มีอาการแพ้แลคโตส สามารถเปลี่ยนมาดื่มนมและผลิตภัณฑ์ที่เป็นแบบ Lactose-free นมพืช อย่าง นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ และนมข้าว หรือแหล่งอาหารจากธรรมชาติอย่าง ปลา ไข่ ผัก ผลไม้ เนื้อสัตว์ ข้าว และถั่วต่าง ๆ

อาหารอะไรบ้างที่มีแลคโตส

แลคโตส จะอยู่ในอาหารที่มีนมทุกชนิด เช่น วัว แพะ แกะ ชีส ไอศกรีม เนย โยเกิร์ต (ยกเว้นโยเกิร์ตออร์แกนิคบางชนิดที่ผ่านการย่อยแลคโตสแล้ว) และอาหารแปรรูปบางชนิดที่มีส่วนผสมของนม

รู้ได้ยังไงว่าแพ้แลคโตส

เราสามารถสังเกตอาการตัวเอง เพื่อให้รู้ว่าเราแพ้แลคโตสหรือไม่ โดยสังเกตอาการหลังทานนม ว่ามีอาการปวดท้อง ท้องเสีย ท้องอืด พอลองงดนมหรือผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของนมวัวแล้วพบว่าอาการดีขึ้น หรือหายไป หากไม่แน่ใจหรือมีอาการรุนแรง สามารถไปพบแพทย์ โดยตรวจวินิจฉัยด้วยวิธี Hydrogen breath test หรือ Lactose tolerance test เพิ่มเติม

ทําไมร่างกายถึงย่อยแลคโตสไม่ได้

สาเหตุที่ร่างกายบางคนย่อยแลคโตสไม่ได้ แบ่งออกเป็นสองวิธีหลัก ๆ คือ ขาดเอนไซม์แลคเตส (Lactase) ในลำไส้เล็ก หรือแลคโตสไม่ถูกย่อย ทำให้ถูกแบคทีเรียหมักจนเกิดแก๊สและอาการต่าง ๆ

บทความล่าสุด

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า