Category: นม
- ใช้เวลาอ่านประมาณ: 3 นาที
- โพสต์เมื่อ
หลายคนอาจเคยเห็นโฆษณาเกี่ยวกับนมลดน้ำหนัก หรือนมที่กินแล้วไม่อ้วน จนเกิดคำถามว่ามีนมกินแล้วไม่อ้วนจริงเหรอ นมอะไรกินแล้วไม่อ้วน เพราะโดยทั่วไปเราเข้าใจกันว่านมคือเครื่องดื่มที่มีไขมันและพลังงานค่อนข้างสูง นอกจากนั้นนมหลายรสชาติยังมีการเติมน้ำตาล และสารปรุงแต่งอีกหลายอย่าง เพื่อให้นมเกิดความอร่อยจนผู้คนอยากจะเลือกซื้อซ้ำ วันนี้ Butterfly Organic จะพาไปไขข้อข้องใจว่า นมลดน้ำหนักคืออะไร ดื่มอย่างไรให้เห็นผลและดีต่อสุขภาพ นมลดน้ำหนักคืออะไร นมลดน้ำหนักคือผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตให้มีปริมาณแคลอรีต่ำ ไขมันน้อย หรือมีการเสริมคุณค่าทางอาหารบางอย่าง เช่น โปรตีนสูง ไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุ เพื่อช่วยสนับสนุนการควบคุมน้ำหนัก โดยไม่กระทบต่อสุขภาพหรือสมดุลสารอาหารที่ร่างกายต้องการ นมสำหรับลดน้ำหนักเป็นได้ทั้ง นมวัว หรือ นมจากพืช เช่น นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง หรือนมข้าวโอ๊ต โดยมักจะไม่มีน้ำตาลหรือใช้สารให้ความหวานที่แคลอรีต่ำแทน นมแบบไหนบ้างที่จัดว่าเป็นนมลดน้ำหนัก 1. นมพร่องมันเนย (Low-fat Milk) / นมขาดมันเนย (Skim Milk) เป็นนมวัวที่ลดหรือขจัดไขมันออกบางส่วนหรือทั้งหมด มีพลังงานน้อยกว่านมเต็มมันเนย ยังคงโปรตีนและแคลเซียมไว้ได้เกือบครบ เหมาะกับผู้ที่ต้องการลดไขมันในอาหารประจำวัน 2. นมอัลมอนด์ไม่หวาน (Unsweetened Almond Milk) เป็นนมลดน้ำหนักจากพืชที่มีแคลอรีต่ำมาก (ประมาณ 30–50 kcal ต่อแก้ว) ไม่มีไขมันอิ่มตัว แถมยังพกสารอาหารมาเพียบทั้งวิตามินอี โอเมก้า 3 โปรตีน ช่วยบำรุงผิว ลดท้องผูก เหมาะกับทุกวัย เรียกได้ว่าเป็นนมแคลน้อย และเป็นตัวเลือกยอดนิยมในกลุ่มคนควบคุมน้ำหนัก 3. นมถั่วเหลือง (Soy Milk) มีโปรตีนสูงใกล้เคียงนมวัว และมีไขมันดีจากพืช หากเลือกสูตรไม่หวาน จะเหมาะกับการเป็นนมลดน้ำหนักมากกว่าสูตรทั่วไป 4. นมเวย์โปรตีน (Whey Protein Milk) อาจไม่ใช่นมโดยตรงแต่เป็นเครื่องดื่มโปรตีนที่ผสมนมหรือสกัดจากนม มีปริมาณโปรตีนสูงมาก และช่วยให้อิ่มนาน จึงนิยมในสายฟิตเนสและกลุ่มลดน้ำหนัก 5. นมข้าวโอ๊ต (Oat Milk) เป็นนมลดน้ำหนักที่มีใยอาหารจากข้าวโอ๊ต ช่วยให้อิ่มนาน แต่ต้องเลือกสูตรไม่หวาน เพราะบางยี่ห้ออาจมีน้ำตาลสูง นมลดน้ำหนัก ช่วยลดน้ำหนักได้จริงไหม คำถามที่หลายคนสงสัยคือ มีด้วยเหรอนมอะไรกินแล้วไม่อ้วน เพราะในความเข้าใจของใครหลายคน นมคือเครื่องดื่มที่ให้พลังงานและไขมัน จึงอาจไม่ใช่ตัวเลือกแรกเมื่อต้องการลดความอ้วน แต่ข้อมูลทางโภชนาการหลายแหล่งระบุว่า ถ้าเลือกนมเหมาะสม และดื่มในปริมาณที่เหมาะ นมบางชนิดสามารถช่วยควบคุมน้ำหนักได้จริง ซึ่งคุณสมบัติที่ทำให้นมบางประเภทสามารถเป็นเสมือนนมลดน้ำหนักได้ มีดังนี้ 1. โปรตีนสูง ช่วยให้อิ่มนาน นมบางประเภท เช่น นมพร่องมันเนย จะมีปริมาณโปรตีนสูง ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความอยากอาหาร โดยกระตุ้นฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องกับความอิ่ม และลดฮอร์โมนความหิว 2. นมแคลอรีต่ำ ใช้แทนของว่างได้ดี นมลดน้ำหนักหลายสูตร เช่น นมอัลมอนด์ไม่หวาน หรือนมถั่วเหลืองสูตรไม่เติมน้ำตาล มีพลังงานต่ำมาก เป็นนมแคลน้อย แต่ยังให้ความอิ่มท้องได้ดี เหมาะดื่มแทนการกินของว่างจุกจิก 3. นมช่วยเสริมการสร้างกล้ามเนื้อ เมื่อออกกำลังกาย สำหรับคนที่ควบคุมน้ำหนักร่วมกับการออกกำลังกายแบบเวทเทรนนิ่ง หรือการฝึกแบบ HIIT (High-Intensity Interval Training) การได้รับโปรตีนจากนมหรือเวย์โปรตีน จะช่วยส่งเสริมการสร้างมวลกล้ามเนื้อ ซึ่งมวลกล้ามเนื้อที่มากขึ้น จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้มากขึ้น แม้ในขณะพัก แล้วนมทุกแบบจะเป็นนมลดน้ำหนักได้หรือไม่? คำตอบคือ “ไม่เสมอไป” เพราะหากเลือกนมผิดประเภท เช่น นมรสหวาน นมผสมไซรัป น้ำตาล หรือสารเพิ่มรส เป็นต้น…
- ใช้เวลาอ่านประมาณ: 3 นาที
- โพสต์เมื่อ
ปัจจุบันโลกของเรามีโรคและมลพิษมากขึ้น ทำให้ผู้คนหันมาดูแลใส่ใจสุขภาพและควบคุมน้ำหนักมากขึ้น การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่หลายคนเลือกทำ ไม่เพียงเท่านั้น ยังใส่ใจกับการกินอาหารเพื่อสุขภาพมากขึ้นด้วย โดยหนึ่งในแนวทางการกินเพื่อสุขภาพที่ได้รับความนิยม คือ อาหารคีโต หรือ คีโตเจนิค ไดเอท (Ketogenic Diet) แต่สงสัยหรือไม่ว่าคีโตคืออะไร การกินคีโต กินอะไรได้บ้าง หลักการกินคีโตที่ถูกต้องเป็นยังไง Butterfly Organic จะพาสาย Healthy ไปทำความเข้าใจแง่มุมของคีโตให้มากขึ้น อาหารคีโตคืออะไร? ทำความรู้จักทางเลือกเพื่อสุขภาพ อาหารคีโต คือ รูปแบบการกินอาหารที่เน้น ไขมันสูง โปรตีนรองลงมา และคาร์โบไฮเดรตให้น้อยที่สุด เป้าหมายหลักของการกินคีโตคือการทำให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะคีโตซิส (Ketosis) เพื่อกระตุ้นให้ร่างกายสร้างสารคีโตน (Ketones) ขึ้นมา การเข้าสู่ภาวะคีโตซิสจะทำให้ร่างกายเปลี่ยนโหมดการเผาผลาญ จากเดิมที่ใช้คาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก ก็เปลี่ยนมาเผาผลาญไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกายแทน ทำให้เกิดประโยชน์หลายอย่าง ทั้งในเรื่องของการลดน้ำหนัก และการควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ลักษณะอาหารคีโต ทำความรู้จักแบบเข้าใจง่าย การกินคีโตอ่านแล้วอาจจะขัดกับความเชื่อเรื่องการกินเพื่อสุขภาพ เพราะอาหารคีโตมีลักษณะเด่นคือเป็นอาหารที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำมาก แต่มีไขมันสูง และโปรตีนปานกลาง การกินคีโตเป็นเน้นการกินเนื้อสัตว์ ไข่ ผักที่ไม่มีแป้ง เช่น ผักใบเขียว หรือพวกไขมันจากธรรมชาติ เช่น อะโวคาโด น้ำมันมะพร้าว ชีส และงดอาหารที่มีแป้ง น้ำตาล หรือผลไม้หวานทั้งหมด จุดประสงค์หลักคือเปลี่ยนแหล่งพลังงานของร่างกายจากน้ำตาลมาเป็นไขมัน สัดส่วนอาหารคีโตที่ควรกิน กินอย่างไรให้เข้าสู่คีโตซิส การกินอาหารคีโตมีจุดเด่นที่การปรับสัดส่วนสารอาหารหลักเพื่อให้ร่างกายเข้าสู่ภาวะคีโตซิส Butterfly Organic มีสัดส่วนการกินคีโตมาแนะนำ ไขมัน ไขมันเป็นสารอาหารหลักของคีโต ควรกินในสัดส่วนประมาณ 70–75% ของพลังงานทั้งหมด แต่ต้องเลือกไขมันที่ดีต่อสุขภาพ เช่น น้ำมันมะพร้าว น้ำมันมะกอก อะโวคาโด เนยแท้ ครีม ชีสบางชนิด รวมถึงไขมันจากปลาทะเลและเนื้อสัตว์ติดมัน การกินอาหารคีโตเหล่านี้ จะช่วยให้ร่างกายมีพลังงานเพียงพอและเข้าสู่ภาวะคีโตซิสได้อย่างมีประสิทธิภาพ โปรตีน โปรตีนในอาหารคีโตควรอยู่ในระดับปานกลาง ประมาณ 20–25% ของพลังงานรวม โดยเน้นโปรตีนคุณภาพดี เช่น เนื้อวัว หมู ไก่ ไข่ ปลา หรือโปรตีนจากพืชที่ไม่มีคาร์บสูง การกินโปรตีนมากเกินไปอาจทำให้ร่างกายเปลี่ยนโปรตีนเป็นกลูโคส (น้ำตาล) ซึ่งจะไปขัดขวางการเข้าสู่ภาวะคีโตซิสได้ คาร์โบไฮเดรต สำหรับคาร์โบไฮเดรตในคีโตควรถูกจำกัดให้น้อยกว่า 5–10% ของพลังงานต่อวัน หรือไม่เกิน 20–50 กรัม เลี่ยงการกินอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ขนมปัง ข้าว ผลไม้หวาน และของหวานทุกชนิด เพื่อป้องกันไม่ให้ระดับอินซูลินสูงขึ้น และช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันเป็นหลัก ผัก ผลไม้ ผักคีโตกินได้ควรเลือกผักที่มีคาร์โบไฮเดรตต่ำ เช่น ผักใบเขียว ผักกาดหอม คะน้า บร็อกโคลี ดอกกะหล่ำ และแตงกวา ซึ่งสามารถกินได้ในปริมาณมาก ส่วนผลไม้ควรจำกัดเฉพาะผลไม้ที่มีน้ำตาลต่ำ เช่น เบอร์รี่บางชนิด (สตรอว์เบอร์รี่ ราสป์เบอร์รี่) ในปริมาณเล็กน้อยเท่านั้น หลีกเลี่ยงผลไม้หวานจัด เช่น กล้วย มะม่วง ลำไย เครื่องปรุงสำหรับกินคีโต เครื่องปรุงในอาหารคีโตควรเลือกแบบไม่มีน้ำตาล ไม่ผสมแป้ง มีส่วนผสมที่ไม่กระตุ้นอินซูลิน เช่น ซีอิ๊วแบบไม่ใส่น้ำตาล ซอสปลา เกลือสมุทร น้ำมันมะกอก น้ำส้มสายชูแอปเปิล เครื่องเทศแห้งต่าง ๆ รวมถึงสารให้ความหวานที่ปลอดภัยต่อคีโต เช่น…
- ใช้เวลาอ่านประมาณ: 3 นาที
- โพสต์เมื่อ
โลกของอาหารและโภชนาการ อาจเคยได้ยินคำว่าน้ำตาลแลคโตสอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะในกลุ่มคนที่แพ้นมวัวหรือมีอาการไม่สบายท้องหลังดื่มนม แต่แท้จริงแล้วน้ำตาลแลคโตสคืออะไรกันแน่ เราจะพบมันได้ในอาหารชนิดไหนบ้าง Butterfly Organic จะพาไปทำความรู้จักน้ำตาลแลคโตสให้มากขึ้น เพื่อให้คุณเข้าใจร่างกายตัวเองได้ดีขึ้น และสามารถเลือกรับประทานอาหารได้อย่างเหมาะสม น้ำตาลแลคโตสคืออะไร น้ำตาลแลคโตส หรือ lactose คือ น้ำตาลตามธรรมชาติที่พบในนมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น นมวัว นมแพะ ชีส และโยเกิร์ต หากร่างกายผลิตเอนไซม์แลคเตส (lactase) ไม่เพียงพอ น้ำตาลแลคโตสจะไม่ถูกย่อยและเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ เกิดการหมักโดยจุลินทรีย์ ทำให้เกิดก๊าซและกรด ส่งผลให้มีอาการท้องอืด หรือท้องเสีย เรียกว่า ภาวะไม่ทนต่อแลคโตส (lactose Intolerance) ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทำให้บางคนต้องเลือกดื่มนมแลคโตสฟรีแทน เข้าใจโครงสร้างของน้ำตาลแลคโตส น้ำตาลแลคโตสเป็นน้ำตาลโมเลกุลคู่ (disaccharide) เกิดจากการรวมตัวกันของน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยว (monosaccharide) สองชนิดคือ น้ำตาลกลูโคส และ น้ำตาลกาแลคโตส โมเลกุลทั้งสองเชื่อมต่อกันด้วยพันธะไกลโคไซด์ (glycosidic bond) เป็นพันธะแบบ β-1,4 ซึ่งเอนไซม์แลคเตสในร่างกายจะทำหน้าที่สลายพันธะ β-1,4 นี้ เพื่อแยกแลคโตสออกเป็นกลูโคสและกาแลคโตส เพื่อให้ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ แต่ถ้าร่างกายมีเอนไซม์นี้น้อยลงหรือไม่ทำงาน ก็จะทำให้เกิดภาวะไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสได้นั่นเอง ลักษณะของน้ำตาลแลคโตส น้ำตาลแลคโตสบริสุทธิ์จะมีลักษณะเป็นผงผลึกสีขาว ไม่มีกลิ่น มีรสหวาน แต่น้อยกว่าน้ำตาลซูโครส โดยมีความหวานประมาณ 20-50% ของซูโครส ทำให้สามารถนำไปใช้ในปริมาณที่มากขึ้นได้โดยไม่ทำให้ผลิตภัณฑ์หวานเกินไป น้ำตาลแลคโตสสามารถละลายได้ในน้ำ โดยความสามารถในการละลายจะเพิ่มขึ้นตามอุณหภูมิ 3 กลไกของร่างกายในการย่อยน้ำตาลแลคโตส 1. การผลิตเอนไซม์แลคเตส เอนไซม์แลคเตสเป็นโปรตีนที่สร้างขึ้นจากเซลล์ที่ผนังลำไส้เล็กส่วนต้น ปริมาณการผลิตเอนไซม์แลคเตสจะมากที่สุดตั้งแต่แรกเกิด จากนั้นจะค่อย ๆ ลดลงเมื่ออายุมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุของภาวะย่อยไม่ย่อยน้ำตาลแลคโตส หรือภาวะไม่ทนต่อแลคโตสในผู้ใหญ่ 2. การสลายพันธะ เมื่ออาหารที่มีน้ำตาลแลคโตสมาถึงลำไส้เล็ก เอนไซม์แลคเตสจะเข้าไปสลายพันธะที่เชื่อมระหว่างน้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวสองชนิดคือ กลูโคส และ กาแลคโตส 3. การดูดซึมน้ำตาลแลคโตส เมื่อน้ำตาลแลคโตสถูกสลายเป็นกลูโคสและกาแลคโตสเรียบร้อยแล้ว น้ำตาลโมเลกุลเดี่ยวทั้งสองชนิดนี้จะถูกดูดซึมผ่านผนังลำไส้เล็กเข้าสู่กระแสเลือด เพื่อนำไปใช้เป็นพลังงานต่อไป ประเภทอาหารที่มักพบน้ำตาลแลคโตส ถ้าสงสัยว่าน้ำตาลแลคโตสมีในอะไรบ้าง ตอบได้เลยว่ามักพบน้ำตาลแลคโตสในอาหารและเครื่องดื่มที่มาจากนมและผลิตภัณฑ์นม โดยแหล่งที่พบบ่อย ได้แก่ ประเภทอาหารตัวอย่างอาหารนมสดและนมดิบนมวัว นมแกะ นมแพะผลิตภัณฑ์นมโยเกิร์ต ครีม เนย นมข้นหวาน นมข้นจืดชีสชีสสด (Fresh cheese) เช่น มอสซาเรลลา, ครีมชีส, ริคอตต้าไอศกรีมและของหวานจากนมไอศกรีม พุดดิ้ง มิลค์เชคอาหารสำเร็จรูปบางชนิดซุปกึ่งสำเร็จ, ขนมปัง, บิสกิต, ช็อกโกแลตนม (มักมีผงนมผสม)ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร/ยาวิตามินหรือยาบางชนิดใช้แลคโตสเป็นสารเติมเต็ม (Excipient) แม้บางอาหารจะไม่ได้มีรสนมชัดเจน แต่อาจมีส่วนผสมของนมผงหรือนมในกระบวนการผลิต จึงควรอ่านฉลากโภชนาการก่อนเลือกซื้อ โดยเฉพาะผู้ที่แพ้น้ำตาลแลคโตส ตัวอย่างปริมาณของน้ำตาลแลคโตสในนม และผลิตภัณฑ์จากนม ผลิตภัณฑ์จากนม (250 มล.)ปริมาณน้ำตาลแลคโตส (กรัม)นมข้นหวาน24นมวัว (ขาดมันเนย/พร่องมันเนย/ธรรมดา)12ไอศกรีม12นมแพะ9ครีม8โยเกิร์ต5ชีส1เนยและมาการีนมีน้อยมาก สาเหตุของการแพ้น้ำตาลแลคโตส การแพ้น้ำตาลแลคโตส หรือ ภาวะไม่ทนต่อแลคโตส คือ ภาวะที่ร่างกายไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตส ซึ่งเป็นน้ำตาลตามธรรมชาติในนม และผลิตภัณฑ์จากนมได้อย่างสมบูรณ์ สาเหตุหลักเกิดจากการที่ลำไส้เล็กผลิตเอนไซม์แลคเตสไม่เพียงพอ เมื่อน้ำตาลแลคโตสที่ไม่ถูกย่อยเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ แบคทีเรียจะทำการหมักจนเกิดก๊าซและกรด ทำให้มีอาการ เช่น ท้องอืด ปวดท้อง ท้องเสีย สาเหตุอื่น ๆ ของการแพ้น้ำตาลแลคโตส เช่น พันธุกรรม, การเปลี่ยนแปลงตามวัย, โรคหรือการบาดเจ็บของลำไส้เล็ก หรือภาวะชั่วคราวหลังป่วย ผู้แพ้น้ำตาลแลคโตส…
- ใช้เวลาอ่านประมาณ: 2 นาที
- โพสต์เมื่อ
ในตอนนี้อาการอย่างการแพ้นมวัวเป็นสิ่งที่ได้ยินกันมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งอาจจะมีทั้งคนที่รู้ตัว ไม่รู้ตัว และยังมีคนที่อาการรุนแรงมากน้อยแตกต่างกันไป อาการนี้ต้องสังเกตอย่างไร ถ้าแพ้แล้วแก้แบบไหน มีอะไรบ้างที่ต้องเลี่ยงเพื่อลดอาการแพ้เหล่านี้ ถึงเวลามาหาคำตอบ และดูแลสุขภาพไปพร้อมกันแล้ว
- ใช้เวลาอ่านประมาณ: 2 นาที
- โพสต์เมื่อ
พุดดิ้งเป็นของหวานคลาสสิกที่ใครๆ ก็หลงรัก ด้วยสูตรพุดดิ้งแบบใหม่ๆ จะช่วยเสริมให้เนื้อสัมผัสมีความเนียนนุ่มมากขึ้น หอมกลิ่นนม มีรสชาติที่หวานละมุน เหมาะสำหรับทานเล่นหลังมื้ออาหารหรือเป็นขนมเย็นๆ ชื่นใจในวันร้อนๆ ที่ดีไปกว่านั้นคือ พุดดิ้งมีหลายแบบให้เลือกตามความชอบ ไม่ว่าจะเป็น พุดดิ้งนมรสวานิลลา ที่ให้กลิ่นหอมกลมกล่อม พุดดิ้งช็อกโกแลต ที่เข้มข้นถึงใจ หรือ พุดดิ้งสตรอเบอร์รี่ ที่หวานอมเปรี้ยว ให้ความรู้สึกสดชื่น วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ วิธีทําพุดดิ้งแบบต่างๆ ซึ่งเป็นวิธีทําพุดดิ้ง ง่ายๆ ด้วยส่วนผสมแค่ไม่กี่อย่าง แถมยังปรับเปลี่ยนรสชาติได้ตามใจชอบ เลือกใช้ได้ทั้งแป้งข้าวโพดหรือเจลาติน เพื่อให้ได้เนื้อพุดดิ้งที่แตกต่างกัน พร้อมทั้งยังมีเคล็ดลับดีๆ มาฝากเพื่อให้พุดดิ้งของคุณออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด แนะนำ 5 สูตรพุดดิ้งที่กำลังมาแรงขายดี 1. พุดดิ้งนมสด (แบบง่าย) สูตรพุดดิ้งนมสดแบบง่ายๆ ที่ใช้วัตถุดิบน้อยแบบแรกนั้นเป็นวิธีทำพุดดิ้งนมสดธรรมดาที่รสชาติหอมหวานนุ่มละมุน ทานง่าย เหมาะสำหรับเป็นของหวานเบา ๆ หลังมื้ออาหาร ส่วนผสมพุดดิ้ง นมสด 500 มล. ไข่แดง 3 ฟอง น้ำตาลทราย 80 กรัม (ปรับได้ตามชอบ) กลิ่นวานิลลา 1 ช้อนชา แป้งข้าวโพด (คอร์นสตาร์ช) 2 ช้อนโต๊ะ วิธีทำ ตีไข่แดงกับน้ำตาลและแป้งข้าวโพดจนเข้ากัน ต้มนมพออุ่น (ไม่ต้องให้เดือด) แล้วค่อยๆ เทลงในส่วนผสมไข่ คนให้เข้ากัน นำกลับไปตั้งไฟอ่อน คนจนส่วนผสมข้นขึ้น ยกลงจากไฟ เติมกลิ่นวานิลลา คนให้เข้ากัน เทใส่ถ้วยหรือพิมพ์ ทิ้งให้เย็น แล้วนำไปแช่ตู้เย็นอย่างน้อย 2 ชั่วโมง 2. สูตรพุดดิ้งโยเกิร์ต (Yogurt Pudding) วิธีการทำพุดดิ้งโยเกิร์ต ก็เป็นอีกเป็นเมนูของหวานที่ทำง่าย ได้สุขภาพดี ให้ความรู้สึกสดชื่น เหมาะสำหรับคนที่ชอบรสเปรี้ยวละมุนจากโยเกิร์ต ผสมความหนึบนุ่มของพุดดิ้ง โดยสูตรพุดดิ้งโยเกิร์ตแบบง่ายก็มีดังนี้ ส่วนผสมพุดดิ้ง โยเกิร์ตรสธรรมชาติ (หรือรสที่ชอบ) 1 ถ้วย (ประมาณ 200 มล.) นมสด 1/2 ถ้วย น้ำตาลทราย 2-3 ช้อนโต๊ะ (ปรับตามชอบ) ผงเจลาติน 1 ช้อนชา (หรือแผ่นเจลาติน 2 แผ่น) น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ (สำหรับละลายเจลาติน) ผลไม้สด เช่น สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี กีวี หรือมะม่วง สำหรับตกแต่ง วิธีทำ 1. เตรียมเจลาติน แช่ผงเจลาตินในน้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ ทิ้งไว้ประมาณ 5-10 นาทีให้พองตัว (ถ้าใช้แผ่น ให้แช่น้ำเย็นจนพองแล้วบีบน้ำออก) 2. อุ่นนม นำนมสดใส่น้ำตาลลงหม้อ ต้มด้วยไฟอ่อนจนร้อน (ไม่ต้องเดือด) คนให้น้ำตาลละลายหมด 3. ละลายเจลาติน ใส่เจลาตินที่แช่ไว้ลงในหม้อนมร้อน คนจนละลายหมด ยกออกจากเตา แล้วพักให้อุ่น 4. ผสมโยเกิร์ต เทโยเกิร์ตลงในส่วนผสมนมที่เย็นลงเล็กน้อย แล้วคนให้เข้ากัน 5. เทใส่ภาชนะ เทส่วนผสมลงในถ้วยหรือพิมพ์พุดดิ้ง แล้วนำเข้าตู้เย็นอย่างน้อย…
- ใช้เวลาอ่านประมาณ: 2 นาที
- โพสต์เมื่อ
7 อาหารสุขภาพ อร่อย ทำง่าย ยาเพิ่มอายุวัฒนะได้ในทุกวัน อาหารสุขภาพหรืออาหาร Healthy นับว่าเป็นกระแสที่มาแรงต่อเนื่องหลายปีและยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไป เพราะผู้คนในปัจจุบันเริ่มตระหนักถึงความสำคัญของการรักษาสุขภาพมากขึ้น อาหารรักสุขภาพจึงถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อให้ผู้คนสายเฮลตี้ทานแล้วได้ทั้งสุขภาพดี และยังได้รับความอร่อยไปพร้อมกัน แค่เราใส่ใจในการเลือกอาหารมากขึ้นก็จะได้สุขภาพที่ดีขึ้นกลับไปง่ายๆ แล้วอาหาร Healthy food มีอะไรบ้าง แต่ละเมนูจะน่าสนใจแค่ไหน วันนี้เราลองมาดูกัน อาหารสุขภาพคืออะไร แตกต่างจากอาหารทั่วไปยังไง อาหารสุขภาพหรือ Healthy food หมายถึงอาหารที่ทานในปริมาณเหมาะสมแล้วจะช่วยให้สุขภาพแข็งแรง ช่วยในการป้องกันโรคหรือเยียวยารักษาได้ โดยทั่วไปแล้วของกินเพื่อสุขภาพก็จะเป็นพวกอาหารมีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชไม่ขัดสี หรือปลา ซึ่งเป็นแหล่งโปรตีนและแร่ธาตุต่างๆ แต่การกินอาหารที่มีประโยชน์ก็จะต้องควบคู่ไปกับการดูแลสุขภาพด้วยวิธีอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ช่วยเผาผลาญพลังงานส่วนเกินเพื่อให้ได้ร่างกายที่แข็งแรง ลดความเสี่ยงในการเกิดโรค อย่างที่มักจะเห็นกันว่าคนที่กินอาหาร Healthy ก็จะเป็นคนที่ออกกำลังกายกันอย่างสม่ำเสมอนั่นเอง แนะนำ 7 เมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่ทำกินเองได้ง่ายๆ ที่บ้าน เมื่อพูดถึงอาหารสุขภาพ หลายคนอาจเข้าใจว่าต้องเป็นอาหารราคาแพง มีขั้นตอนการทำที่ยุ่งยาก แต่ความเป็นจริงแล้วเมนูสุขภาพสามารถปรุงได้จากวัตถุดิบราคาถูก รสชาติอร่อย และยังทำได้ง่าย บางเมนูก็เป็นอาหารที่ทานกันเป็นประจำอยู่แล้ว และเมนูอาหารสุขภาพ มีอะไรบ้าง สำหรับเมนูที่เราจะมาแนะนำกันก็มี 7 เมนูดังนี้ 1. โยเกิร์ตโรยกราโนล่า แน่นอนเลยว่าทั้งโยเกิร์ตและกราโนล่าถือว่าเป็นอาหารที่มีประโยชน์และยังได้รับความนิยมสูงในปัจจุบัน ได้รสสัมผัสเนียนนุ่มจากโยเกิร์ตและยังผสมผสานความกรุบกรอบของกราโนล่าทำให้ทานได้อร่อย ในด้านประโยชน์ก็ช่วยทั้งการปรับสมดุลร่างกาย ช่วยระบบขับถ่าย ป้องกันท้องผูก เหมาะเป็นอาหารมื้อเช้าหรือมื้อระหว่างวันสำหรับผู้ที่ต้องการคุมน้ำหนักมากที่สุด 2. เยลลี่นมสดใส่ผลไม้ อีกหนึ่งเมนูเพื่อสุขภาพที่ได้ทั้งความอร่อยและยังได้ความสดชื่นก็คือเยลลี่นมสด แค่นำเจลาตินหรือผงวุ้นมาแช่น้ำเย็นจนพองตัวแล้วพักไว้ จากนั้นก็อุ่นนมสดให้ร้อนแล้วผสมกับเจลาตินให้เข้ากัน ตักใส่ถ้วยพร้อมโรยผลไม้สดหั่นชิ้นพอดีคำลงไป สำหรับผลไม้ก็เลือกได้ตามใจชอบ แนะนำเป็นแก้วมังกร กีวี่ มะละกอ หรือสตรอเบอรี่ก็จะช่วยเพิ่มความสดชื่นได้เป็นอย่างดี รวมถึงยังสามารถเพิ่มโยเกิร์ตเข้าไปเสริมรสชาติและเนื้อสัมผัสได้ มีทั้งประโยชน์และความอร่อย ควบคุมระดับน้ำตาลเองได้ด้วย 3. ปลาซาบะย่างเกลือ ปลาซาบะย่างเกลือเป็นอีกหนึ่งเมนูเพื่อสุขภาพที่อร่อยและทำง่าย ได้ประโยชน์ที่หลากหลาย วัตถุดิบที่ต้องใช้ก็มีแค่เนื้อปลาซาบะ นำมาย่างด้วยไฟกลางเพื่อไม่ให้ DHA สลายเมื่อโดนความร้อน ประโยชน์ก็มีหลายอย่างทั้งเป็นแหล่งโปรตีน กระตุ้นการเผาผลาญพลังงาน มี DHA ที่เป็นประโยชน์ต่อสมองและระบบไหลเวียนเลือด มีวิตามินหลายชนิด ช่วยรักษาสมดุลแคลเซียมในร่างกายได้อีกด้วย 4. โจ๊กข้าวโอ๊ต โจ๊กข้าวโอ๊ตเป็นอีกหนึ่งเมนูสุขภาพที่ทำง่ายและได้ประโยชน์ เพราะข้าวโอ๊ตมีแมกนีเซียมสูง แคลอรี่ต่ำ ช่วยให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดี ทานแล้วอยู่ท้อง แค่เปลี่ยนจากข้าวธรรมดามาเป็นข้าวโอ๊ตก็ได้โปรตีนเพิ่มขึ้นและยังมีแร่ธาตุ วิตามินต่างๆ เพิ่มเข้ามา สามารถใส่อกไก่หรือกุ้งเข้าไปเพิ่มโปรตีนและสารอาหารอื่นได้ด้วย 5. ข้าวอบธัญพืช ข้าวอบธัญพืชก็เป็นอีกหนึ่งอาหารรักสุขภาพที่ทำง่าย ได้ประโยชน์ที่หลากหลาย ข้าวที่ใช้ก็เลือกได้ว่าจะใช้ข้าวกล้อง ข้าวซ้อมมือ หรือข้าวไรซ์เบอร์รี ปริมาณน้ำตาลจะต่ำกว่าข้าวขาวธรรมดา วัตถุดิบอื่นที่ใส่แล้วเข้ากันก็มีหลายอย่าง ลูกเดือย : มีไฟเบอร์สูง มีสารคอกซีโนไลด์ที่ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็ง ดีต่อระบบย่อยอาหาร ข้าวโพด : ให้คาร์โบไฮเดรต ลดความดันโลหิตและคอเลสเตอรอลในเลือด บำรุงสายตา ช่วยให้ผิวพรรณสวยเต่งตึง ถั่วลันเตา : มีสรรพคุณในการลดความดันเลือดและขับสารพิษในร่างกาย เห็ดหอม : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันร่างกาย ลดไขมันในเส้นเลือด บำรุงสมองและผิวพรรณได้ดี 6. ยำแซลมอนใส่ต้นอ่อนทานตะวัน ใครที่ชอบรสชาติจัดจ้านก็มียำแซลมอนใส่ต้นอ่อนทานตะวันเป็นอีกหนึ่งเมนูอาหารเพื่อสุขภาพที่กำลังได้รับความนิยมสูง แซลมอนมีโอเมก้า 3 ที่ช่วยบำรุงระบบประสาท ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคสมองเสื่อม โรคหัวใจ ส่วนต้นอ่อนทานตะวันก็ช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็ง โรคอัลไซเมอร์ และโรคเบาหวาน เพียงแต่การปรุงรสจะต้องใช้เครื่องปรุงโซเดียมต่ำเพื่อไม่ให้รับโซเดียมเกินความจำเป็น 7. ไก่ผัดขิง ใครจะเชื่อว่าเมนูง่ายๆ ที่พบเห็นได้ทุกวันอย่างไก่ผัดขิงก็เป็นหนึ่งในอาหารสุขภาพที่ดีที่สุด ด้วยรสชาติที่คุ้นเคยทำให้ทานได้ง่าย วัตถุดิบหาง่าย ขั้นตอนการทำก็ง่าย…
- ใช้เวลาอ่านประมาณ: 2 นาที
- โพสต์เมื่อ
ถ้าพูดถึงนมคงไม่มีใครไม่รู้จัก แต่ถ้าจะถามเจาะลึกกันเพิ่มว่านม มีกี่ชนิด อาจยังไล่กันไม่หมด เพราะในตอนนี้นมมาพร้อมตัวเลือกที่หลากหลายมาก ออกแบบมาเพื่อให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต่างกัน เพิ่มเติมประโยชน์ให้เหมาะกับสุขภาพของแต่ละคนมากขึ้น วันนี้เรามาทำความรู้จักกันดีกว่าว่าตอนนี้มีนมประเภทไหนบ้างที่กำลังได้รับความนิยม และถ้าอยากดื่มนมให้ได้ประโยชน์แบบจัดเต็มความดื่มอย่างไร มาดูกัน นม มีกี่ชนิดกับ 7 ประเภทของนมที่คนไทยนิยมดื่ม มาเริ่มทำความรู้จักกันดีกว่าว่านม มีกี่ชนิด ซึ่งเราคัดสรรแต่ประเภทที่คนไทยนิยมดื่มที่สุดมาแนะนำให้คุณได้รู้จัก เพื่อที่จะได้เลือกประเภทของนมให้เหมาะกับสุขภาพร่างกายกันมากขึ้น 1. นมสด สำหรับนมประเภทนี้จะเป็นน้ำนมที่รีดออกมาแบบสดใหม่ ไม่ผ่านกระบวนการใด ๆ สารอาหารในน้ำนมครบถ้วนสมบูรณ์ เรียกว่าเป็นนมแคลเซียมสูงได้เลยทีเดียว โดยยังมาพร้อมกับกลิ่นและรสที่หอม มัน อร่อย แต่จะไม่สามารถเก็บเอาไว้ได้นาน เพราะมีจุลินทรีย์อยู่ ทำให้เสียเร็วกว่านมประเภทอื่น 2. นมพาสเจอร์ไรส์ นมประเภทนี้ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อจุลินทรีย์ที่ทำให้หมดอายุเร็วที่สุดออกไป คุณค่าและรสชาติใกล้เคียงกับนมสด มีกระบวนการฆ่าเชื้อตั้งแต่ 15 วินาที ไปจนถึง 30 นาที ในอุณหภูมิ 63-72 องศาฯ ซึ่งอาจเข้าไปทำลายจุลินทรีย์บางส่วนที่ไม่ดีกับร่างกาย เมื่อซื้อแล้วแนะนำว่าควรแช่เย็น ทำให้อยู่ได้ประมาณ 7-10 วัน ซึ่งนมประเภทนี้คือนมที่เราเห็นตามตู้แช่ต่าง ๆ นั่นเอง 3. นมสเตอริไลส์ นมประเภทนี้จะผ่านการฆ่าเชื้อ ในเวลาและอุณหภูมิที่สูงขึ้น ที่ 100-135 องศาฯ นาน 20-30 นาที ทำให้ทั้งจุลินทรีย์ที่ไม่ดีกับร่างกาย และตัวที่ทำให้นมเสียนั้นหายไปหมด นมตัวนี้จึงสามารถเก็บเอาไว้แบบไม่แช่เย็นได้นานกว่า 1 ปี แต่ตัวน้ำนมเองก็สูญเสียวิตามินบางอย่างไป ถ้าเป็นเด็กวัยกำลังโตไม่แนะนำนมประเภทนี้ เพราะทั้งความอร่อยและคุณประโยชน์ไม่มากเท่านมแบบอื่น 4. นมยูเอชที ชื่อของนมประเภทนี้น่าจะเป็นที่คุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ผ่านกระบวนการฆ่าเชื้อด้วยความร้อนแบบใช้ความร้อนสูงมาก แต่ใช้เวลาสั้น กำจัดเชื้อจุลินทรีย์ออกไปเกือบหมด แต่ไม่เสียวิตามินมากนัก รสชาติดี แต่ก็ต้องเลือกให้ดี เพราะมีทั้งแบบผลิตจากนมผงกับนมสด มักมาในแบบนมกล่องพร้อมดื่ม เก็บได้แบบไม่ต้องแช่เย็นนาน 6-8 เดือน เด็กอายุมากกว่า 1 ปีขึ้นไปดื่มได้ 5. นมไขมันต่ำ นมประเภทนี้จะเรียกอีกอย่างว่านมพร่องมันเนย หรือนม Low Fat โดยจะทำการสกัดไขมันออกไปให้เหลืออยู่ไม่เกิน 15% แต่สารอาหารอื่น ๆ ยังอยู่ เหมาะกับผู้สูงวัย คนที่ไขมันในเลือดสูง และคนที่ต้องการคุมพลังงานดูแลรูปร่าง แต่ไม่เหมาะกับเด็กกำลังโต เพราะสารอาหารยังไม่ครบถ้วนพอ 6. นมขาดมันเนย นมแบบนี้เป็น Non-Fat ถูกสกัดไขมันออกไปเกือบหมด เหลืออยู่เพียง 0.15% เท่านั้น แต่สารอาหารยังอยู่ทั้งโปรตีน คาร์โบไฮเดรต แต่วิตามินที่ละลายในไขมันอาจมีอยู่น้อย เหมาะกับคนที่ต้องการลดไขมันจริงจัง แต่ถ้าเด็กกับคนร่างกายปกติเลือกนมประเภทอื่นร่างกายจะได้ประโยชน์มากกว่า 7. นมเปรี้ยว นมประเภทนี้มาพร้อมรสชาติที่แตกต่างจากนมประเภทอื่น เพราะมีแบคทีเรียที่ช่วยในการทำงานของกระเพาะและลำไส้อยู่ มีการหมักต่อเพื่อเพิ่มจุลินทรีย์ดีเข้าไป ทำให้ร่างกายได้ประโยชน์เมื่อดื่ม ความเปรี้ยวเกิดจากน้ำตาลในนมกลายเป็นกรด ใครที่แพ้แลคโตสอาจมองนมประเภทนี้เป็นทางเลือกในการดื่มนมได้ หรือจะเลือกดื่มเป็นเครื่องดื่มประเภทธัญพืชอย่างนมอัลมอนด์และนมจากพืชอื่น ๆ ก็ได้เช่นกัน ประโยชน์และสารอาหารจากนมที่คุณไม่ควรพลาด เมื่อได้รู้จักว่านม มีกี่ชนิดกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เรามาดูประโยชน์ที่เราจะได้จากนมกันดีกว่า เผื่อว่าเป็นประโยชน์ในด้านสุขภาพและร่างกายที่คุณกำลังตามหา จะได้เลือกนมจากธรรมชาติมาดื่มเพิ่มสิ่งดี ๆ ให้ร่างกายไปพร้อมกัน สารอาหารหลักในนม ตามมาตรฐานของนมสด 1 แก้ว มักมาพร้อมสารอาหารต่าง ๆ คือ แคลอรี่ โปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรต น้ำตาล แคลเซียม วิตามินบี 12…
- ใช้เวลาอ่านประมาณ: 2 นาที
- โพสต์เมื่อ
นอกจากมื้ออาหารที่คุณจะสามารถกินเจ พร้อมกับเติมประโยชน์ให้กับร่างกายได้แล้ว เครื่องดื่มเจก็เป็นอีกประเภทที่สามารถทำให้การกินเจของคุณนั้นสนุกมากขึ้น ใครอยากรู้ว่าเครื่องดื่มเจ มีอะไรบ้าง และอยากได้สูตรเครื่องดื่มสุดอร่อยไปทำกันเองที่บ้าน เพื่อให้ได้รสชาติที่ถูกใจมากที่สุด วันนี้เรามีสูตรเครื่องดื่มยอดนิยมมาฝากกัน รับรองว่าอร่อยทุกมื้อ ได้ประโยชน์ทุกแก้วอย่างแน่นอน เครื่องดื่ม เจต้องเป็นแบบไหนถึงจะไม่หลุดเจ เรามาดูกันว่าเครื่องดื่มเจ มีอะไรบ้าง เลือกหยิบมาดื่มแบบไหนไม่ทำให้หลุดเจ เพราะบางครั้งเครื่องดื่มเป็นตัวการทำให้หลายคนเผลอไป เพราะคิดว่าไม่มีเนื้อสัตว์ ดังนั้นเรามาปรับมุมมอง โฟกัสเฉพาะเครื่องดื่มที่เหมาะกับเทศกาลถือศีลกินเจกันดีกว่า นมจากพืช สำหรับนมที่ผลิตมาจากพืช หรือเป็นพวกเครื่องดื่มธัญพืชนั้นเหมาะที่สุดกับเทศกาลนี้ เพราะทั้งอร่อย ได้ประโยชน์ เป็นตัวช่วยรองท้องให้คุณมีพลังงานเพียงพอ พกง่าย หยิบขึ้นมาดื่มได้สะดวก แถมในตอนนี้มาพร้อมตัวเลือกที่หลากหลาย เทรนด์ในปีนี้ที่นิยมกันมากที่สุดต้องยกให้ นมอัลมอนด์ นมถั่วเหลือง นมโอ๊ต นมข้าวโพด น้ำลูกเดือย น้ำข้าวกล้อง บอกเลยว่าเครื่องดื่มเหล่านี้ดื่มแล้วอร่อยจนลืมว่ากินเจอยู่ แถมถ้านอกเหนือจากช่วงเจจะดื่มต่อก็ได้ประโยชน์ จนยกให้เป็นเครื่องดื่มคู่ใจกันได้เลย น้ำหวาน สำหรับใครที่ต้องการเติมน้ำตาลให้ร่างกายน้ำหวาน และพวกน้ำอัดลมก็สามารถดื่มได้ แต่แนะนำให้ดื่มแต่พอดี เพราะเครื่องดื่มนี้ถึงแม้จะไม่ผิดศีลเรื่องการกินเจ แต่ก็ไม่ดีกับสุขภาพเมื่อดื่มมากจนเกินไป น้ำผักผลไม้ เพียงแค่คุณเลี่ยงน้ำผักผลไม้ที่มีผักต้องห้าม 5 อย่าง และลดการเลือกดื่มน้ำผักผลไม้ที่ทำจากผักผลไม้กลิ่นฉุนก็ถือว่าสามารถใช้เป็นเครื่องดื่มเจกันได้แล้ว แถมยังเป็นเครื่องดื่มเจในเซเว่นที่หาง่ายอีกด้วย แนะนำบทความเกี่ยวกับการทานเจ จาก Butterfly แนะนำ 10 นมเจ อร่อยด้วยได้บุญด้วย มีนมแบบไหนบ้างเช็กที่นี่เลย เปิดลิสต์ข้อควรรู้ กินเจ กินอะไรได้บ้าง รู้ก่อนทานเจ เพื่อให้ได้บุญที่แท้ทรู รวม 10 สูตร เครื่องดื่มเจ มีอะไรบ้าง ที่ทั้งได้บุญ และได้ประโยชน์ หลังจากได้รู้กันแล้วว่าประเภทของเครื่องดื่มเจ มีอะไรบ้าง ก็ถึงเวลามาเพิ่มความอร่อย ประโยชน์ และความหลากหลาย แปลกใหม่ให้กับเมนูเครื่องดื่มของคุณกันแล้ว วันนี้เราเตรียม 10 สูตรเด็ดที่ให้คุณนำมามิกซ์จนกลายเป็นเมนูเครื่องดื่มเจสุดฟินกันที่นี่เรียบร้อยแล้ว 1. นมอัลมอนด์ คุณสามารถทำนมอัลมอนด์ดื่มเองได้ง่าย ๆ เพียงเตรียมอัลมอนด์ น้ำร้อนจัด (สำหรับแช่อัลมอนด์) น้ำสะอาด น้ำตาลทราย จากนั้นทำการแช่อัลมอนด์ในน้ำร้อนทิ้งไว้อย่างน้อย 1 ชั่วโมง นำไปปั่น กับน้ำสะอาด จากนั้นนำไปกรองเพื่อเอาแค่นมออกมา แล้วตั้งไฟต้มกับน้ำตาล เมื่อทุกอย่างเข้ากันก็สามารถดื่มได้เลย แต่ถ้าต้องการความง่ายและเร็วกว่านั้น แนะนำว่านมอัลมอนด์จาก Butterfly ช่วยคุณได้ เพราะผลิตแบบออร์แกนิค มีให้เลือกหลายสูตร เหมาะกับช่วงเจ และยังเหมาะกับการดื่มเพื่ออร่อยได้ประโยชน์ในทุกช่วง 2. น้ำเต้าหู้ เครื่องดื่มยอดนิยมของเทศกาลกินเจ ทำเองง่าย ๆ ด้วยการเตรียม ถั่วเหลือง ถั่วลิสง อัลมอนด์ น้ำเปล่า และน้ำตาล จากนั้นนำถั่วทุกชนิดมาผสมกัน แช่ไว้ 8 ชั่วโมง นำไปปั่นกับน้ำเปล่า จากนั้นนำมากรอง บีบเฉพาะน้ำใส่หม้อ นำตั้งไฟจนเดือด ตักใส่แก้วแล้วเติมความหวานได้ตามชอบ 3. น้ำเต้าหู้งาดำ มาเพิ่มคุณประโยชน์ให้เครื่องดื่มเจแก้วนี้ด้วยงาดำกัน ให้คุณเตรียมถั่วเหลือง งาดำ น้ำอุ่น และน้ำตาลทราย จากนั้นล้างถั่วเหลือง นำไปคั่วจนแห้งและหอม จากนั้นแช่น้ำทิ้งไว้ 3 ชั่วโมง ล้างงาดำและคั่ว นำถั่วเหลืองที่นิ่มแล้วมาปั่นกับงาดำและน้ำอุ่น กรองเอาแค่น้ำ ต้มจนเดือด จากนั้นก็ดื่มได้ เติมน้ำตาลได้ตามความชอบ 4. น้ำลูกเดือย หนึ่งในวัตถุดิบเจยอดนิยม นำมาทำเป็นเครื่องดื่มกันดีกว่า เพียงเตรียม ลูกเดือยแห้ง ธัญพืชตามชอบ เช่น…
- ใช้เวลาอ่านประมาณ: 2 นาที
- โพสต์เมื่อ
เมื่อถึงเวลาที่จะเข้าสู่ช่วงเทศกาลกินเจ หลายคนอาจอยากวางแผนเมนูทั้งอาหาร และเครื่องดื่มต่าง ๆ เอาไว้ ถ้าอย่างนั้นเรามาเก็บข้อมูลของนมเจที่น่าสนใจกันดีกว่า ว่าในตอนนี้มีนมแบบไหนผลิตออกมาให้คุณได้เลือกบ้าง เพราะบอกเลยว่าในตอนนี้มีตัวเลือกให้คุณหลากหลายเพิ่มมากขึ้น ทำให้การวางแผนเมนูการกินเจสนุกมากขึ้นไปด้วย พร้อมแล้วมาเริ่มเก็บไอเดียการกินเจปีนี้ไปพร้อมกับเราได้เลย นมเจ คืออะไร ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักกับนมเจให้มากขึ้นกันก่อน เพื่อที่จะได้โฟกัสถูกจุด และนำเมนูนี้มาผสมให้กลายเป็นเครื่องดื่มที่อร่อย ได้ประโยชน์ น่าสนใจและแปลกใหม่มากขึ้น โดยเครื่องดื่มเจ ภาษาอังกฤษนั้นจะเรียกกันว่า ‘Vegetarian drinks’นั่นหมายความว่าเป็นการดื่มเครื่องดื่มที่ต้องไม่เป็นผลิตภัณฑ์ที่เป็นผลผลิตที่ได้มาจากสัตว์ทุกชนิด ไม่ว่าจะเป็น นมวัว นมแพะ ชีส เนย และอีกหลาย ๆ อย่างที่เราคุ้นเคยช่วงกินเจอาจต้องเลี่ยงให้ไกล แต่ข่าวดีก็คือในยุคนี้สินค้าทดแทนที่อร่อย ละมุน กลมกล่อมไม่แพ้นมจากสัตว์ก็มีให้คุณได้เลือกมากมาย เครื่องดื่มเจที่ขายในตอนนี้มีหลายตัวที่น่าสนใจ แถมยังกลายเป็นทางเลือกที่ดีกับสุขภาพของคุณอีกด้วย เพราะมีทั้งโปรตีน แคลเซียม วิตามิน และแร่ธาตุไม่ได้ต่างจากนมปกติเลย ดังนั้นต่อให้ไม่ใช่ช่วงกินเจคุณก็ยังสามารถดื่มนมเหล่านี้ในชีวิตประจำวันได้ ช่วงกินเจต้องไม่พลาด 10 นมเจ ที่เราอยากแนะนำ ถึงเวลามาเก็บไอเดียการดื่มนมเจกันแล้ว โดยนมเหล่านี้ในปัจจุบันยังเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องดื่มเจ คาเฟ่อีกด้วย ทำให้คุณสามารถตามหาที่จะดื่มกันง่ายขึ้น มีนมอะไรที่กำลังเป็นที่นิยม และเหมาะกับช่วงกินเจนี้ที่สุดบ้าง มาดูกัน 1. นมอัลมอนด์ สูตรเครื่องดื่มเจใช้นมอัลมอนด์เป็นส่วนผสม เพราะมีรสชาติที่กลมกลืนกับวัตถุดิบอื่นได้ง่าย อร่อย ได้ประโยชน์ ในตอนนี้มีหลายสูตรออกมาให้คุณได้เลือก ให้พลังงาน และคาร์โบไฮเดรตน้อยกว่านมวัว นอกจากจะเหมาะกับเทศกาลกินเจแล้ว ยังเหมาะกับคนที่ต้องการคุมน้ำตาลในเลือด เพราะมาพร้อมกับแมกนีเซียม รวมทั้งสารอาหารอื่น ๆ อย่างแคลเซียม วิตามินเอ วิตามินดี ยิ่งดื่มคู่กับโปรตีนยิ่งมีประโยชน์ และถ้าคุณต้องการตามหานมอัลมอนด์คุณภาพ แนะนำเลยว่านมอัลมอนด์ออร์แกนิคจาก Butterfly เป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับทุกเทศกาลและทุกโอกาสของคุณอย่างแน่นอน 2. นมถั่วเหลือง สำหรับนมถั่วเหลืองนั้นในคาเฟ่ที่มีเมนูเครื่องดื่มเจก็มักจะมีนมตัวนี้ให้คุณได้เลือก แถมยังเป็นนมที่หาซื้อง่าย เพราะใช้ดื่มในช่วงกินเจมาอย่างยาวนาน มีสารอาหารใกล้เคียงนมวัว โปรตีนสูง มีหลายรสหลายสูตรให้เลือก มาพร้อมโอเมก้า 3 และวิตามินต่าง ๆ ใครชอบจัดได้เลย 3. น้ำนมข้าว พืชที่จะเข้ามาเป็นเครื่องดื่มธัญพืชในช่วงกินเจให้กับคุณได้ หลายยี่ห้อนำไปผสมวิตามินเอ ดี และแคลเซียมเพิ่ม เพื่อให้อร่อยได้ประโยชน์มากขึ้น แต่นมตัวนี้โปรตีนจะไม่สูงมากนัก และมาพร้อมคาร์โบไฮเดรตที่สูง ใครที่เป็นเบาหวานควรระวัง 4. นมข้าวโอ๊ต บอกเลยว่านมข้าวโอ๊ตมาพร้อมความอร่อย ละมุน เป็นเครื่องดื่มธัญญาหารที่ไม่ควรพลาดในช่วงกินเจ มาพร้อมเบต้ากลูแคนที่เป็นใยอาหารชนิดละลายน้ำ ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย และลดระดับคอเลสเตอรอลไม่ดีได้ และยังมีแร่ธาตุอีกหลากหลายทั้ง แมงกานีส ฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก แมกนีเซียม และสังกะสี โดยนมประเภทนี้ให้พลังงานได้สูง 5. นมพิสตาชิโอ นมเจดื่มง่าย ทำอาหารและขนมได้หลากหลาย มาพร้อมรสหวาน แต่พลังงานต่ำ ใยอาหารสูง โปรตีนเยอะ ไขมันดีเพียบ ดีกับหัวใจ และยังมีวิตามินบี 6 คุมน้ำตาลในเลือด บำรุงสายตา ยกให้เป็นเครื่องดื่มช่วงกินเจที่ดีกับสุขภาพที่ไม่ควรพลาด 6. น้ำนมงาดำและขาว นมจากงาก็เป็นหนึ่งในนมยอดนิยม และเป็นรสชาติความหอมที่หลายคนชื่นชอบ สรรพคุณที่เป็นประโยชน์กับร่างกายนั้นอัดแน่นอยู่ในงา และเมื่อมากรองเป็นนมก็สามารถให้สารต้านอนุมูลอิสระกับคุณได้ แถมยังอร่อยอีกด้วย 7. น้ำนมมะพร้าว ใครที่ชอบความนัว ละมุน ต้องเลือกนมตัวนี้ไปเป็นนมเจในเทศกาลนี้ ประโยชน์จากมะพร้าวจัดเต็มทั้งช่วยบำรุงหัวใจ ต้านการติดเชื้อ กินแล้วรับรองว่าดีกับสุขภาพ แถมยังผสมกับเครื่องดื่มได้หลากหลาย 8. นมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ใครที่ชอบเคี้ยวถั่วชนิดนี้ มาลองดื่มนมจากถั่วชนิดนี้กันบ้างดีกว่า เพราะสามารถช่วยคุณป้องกันโรคหัวใจและหลอดเลือด บำรุงกระดูก ลดความเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่ และบำรุงผมกับผิว กลายเป็นการกินเจที่ได้สุขภาพอย่างแน่นอน…
- ใช้เวลาอ่านประมาณ: 2 นาที
- โพสต์เมื่อ
บทความวันนี้จะมาแนะนำเครื่องดื่มออร์แกนิก 5 ชนิดที่ร้านออร์แกนิคปัจจุบันควรจะต้องมีจำหน่าย เพราะเครื่องดื่มเหล่านี้มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย เช่น ส่งเสริมสุขภาพกระดูก ให้สารอาหารที่จำเป็น สนับสนุนการย่อยอาหาร และให้พลังงานตามธรรมชาติที่ยั่งยืน โดยเราจะเริ่มอธิบายให้เข้าใจตั้งแต่ผลิตภัณฑ์ชาออร์แกนิคคืออะไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง เครื่องดื่มออร์แกนิค VS โยเกิร์ตออร์แกนิค ต่างกันอย่างไร และเราจึงจะมาแนะนำ 5 ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค นมออร์แกนิค เครื่องดื่มอเมริกัน สุดท้ายเราจะมาตอบคำถามที่พบบ่อย ออร์แกนิค คืออะไร อาหารออร์แกนิคคืออะไร เพื่อให้หลายคนเข้าใจว่าเครื่องดื่มเหล่านี้ให้นิยามใหม่ของความสดชื่น ในฐานะการดูแลตนเองและการบำรุงร่างกาย เพื่อสุขภาพที่ดี ผลิตภัณฑ์ชาออร์แกนิคคืออะไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง ผลิตภัณฑ์ชาออร์แกนิก คือเครื่องดื่มที่ทำจากใบชา สมุนไพร หรือพฤกษชาติที่เพาะปลูกด้วยวิธีเกษตรอินทรีย์ วิธีการเหล่านี้ไม่รวมการใช้สารกำจัดศัตรูพืชสังเคราะห์ ปุ๋ย และ GMOs โดยเน้นการปฏิบัติที่เป็นธรรมชาติและยั่งยืน ประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ชาออร์แกนิก 1. ความบริสุทธิ์ ชาออร์แกนิกปราศจากสารเคมีที่เป็นอันตราย จึงมั่นใจได้ว่าจะได้เครื่องดื่มที่สะอาดและดีต่อสุขภาพมากขึ้น 2. ปริมาณสารอาหารที่สูงขึ้น วิธีการปลูกแบบออร์แกนิกอาจส่งผลให้ใบชามีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน และแร่ธาตุในระดับที่สูงขึ้น 3. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม การทำเกษตรอินทรีย์ให้ความสำคัญกับสุขภาพของดิน ความหลากหลายทางชีวภาพ และการอนุรักษ์น้ำ สนับสนุนการเกษตรแบบยั่งยืน 4. เพิ่มรสชาติ ชาออร์แกนิกมีรสชาติที่แท้จริงและมีชีวิตชีวามาก เนื่องจากไม่มีสารเคมีตกค้าง 5. ประโยชน์ต่อสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น สารประกอบธรรมชาติในชาออร์แกนิก เช่น สารต้านอนุมูลอิสระและโพลีฟีนอล มีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ ขึ้นอยู่กับประเภทของชา 6. การพิจารณาด้านจริยธรรม การผลิตชาออร์แกนิกมักจะสอดคล้องกับหลักปฏิบัติด้านแรงงานที่เป็นธรรมและความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชน โดยสรุป ผลิตภัณฑ์ชาออร์แกนิกคือเครื่องดื่มที่ทำจากใบชาหรือพืชที่ปลูกด้วยวิธีเกษตรอินทรีย์ ประโยชน์รวมถึงความบริสุทธิ์ ปริมาณสารอาหารที่เพิ่มขึ้น ผลกระทบเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม ข้อดีด้านสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น และข้อพิจารณาด้านจริยธรรม การเลือกที่จะดื่มชาออร์แกนิก ช่วยให้คุณเพลิดเพลินกับเครื่องดื่มที่สนับสนุนทั้งความเป็นอยู่ที่ดี และการปฏิบัติทางการเกษตรอย่างมีความรับผิดชอบ เครื่องดื่มออร์แกนิค VS โยเกิร์ตออร์แกนิค ต่างกันอย่างไร ความแตกต่างระหว่างเครื่องดื่มออร์แกนิคและโยเกิร์ตออร์แกนิคอยู่ที่รูปแบบ ส่วนผสม และลักษณะทางโภชนาการ เครื่องดื่มออร์แกนิค – รูปแบบ เครื่องดื่มออร์แกนิกหมายถึงเครื่องดื่มที่ทำจากส่วนผสมออร์แกนิกตามแนวทางเกษตรอินทรีย์ – ความหลากหลาย เครื่องดื่มออร์แกนิกมีตัวเลือกมากมาย เช่น น้ำผลไม้ออร์แกนิก ชาสมุนไพร นมจากพืช (เช่น นมอัลมอนด์ ถั่วเหลือง หรือข้าวโอ๊ต) และแม้แต่สมูทตี้ออร์แกนิก – ส่วนผสม เครื่องดื่มออร์แกนิกสามารถทำจากวัตถุดิบออร์แกนิกหลายชนิด ขึ้นอยู่กับประเภทของเครื่องดื่ม อาจมีผลไม้ สมุนไพร ถั่ว เมล็ดพืช หรือธัญพืช ซึ่งปลูกโดยไม่ใช้สารเคมีสังเคราะห์ – คุณค่าทางโภชนาการ ปริมาณทางโภชนาการจะแตกต่างกันไปตามวัตถุดิบที่ใช้ เครื่องดื่มออร์แกนิกสามารถให้ความชุ่มชื้น วิตามิน แร่ธาตุ และสารต้านอนุมูลอิสระที่เป็นไปได้ ขึ้นอยู่กับส่วนผสม โยเกิร์ตออร์แกนิค – รูปแบบ โยเกิร์ตออร์แกนิกคือผลิตภัณฑ์นมที่ผลิตโดยการหมักนมออร์แกนิกกับแบคทีเรียที่มีประโยชน์ – ส่วนผสม ส่วนใหญ่ทำจากนมออร์แกนิกและแบคทีเรียที่มีชีวิต (โปรไบโอติก) ที่ช่วยในการหมัก บางประเภทอาจใส่ผลไม้ออร์แกนิคหรือสารปรุงแต่งรสธรรมชาติอื่น ๆ – คุณค่าทางโภชนาการ โยเกิร์ตออร์แกนิกเป็นแหล่งโปรตีน แคลเซียม และโปรไบโอติกที่ดี ซึ่งช่วยดูแลสุขภาพทางเดินอาหาร ให้ส่วนผสมของสารอาหารที่สำคัญต่อสุขภาพกระดูกและการย่อยอาหาร โดยสรุปแล้ว แม้ว่าทั้งเครื่องดื่มออร์แกนิกและโยเกิร์ตออร์แกนิกจะให้ความสำคัญกับส่วนผสมออร์แกนิก แต่ก็มีรูปแบบ ส่วนผสม และคุณค่าทางโภชนาการที่แตกต่างกัน เครื่องดื่มออร์แกนิกครอบคลุมเครื่องดื่มหลากหลายประเภท ในขณะที่โยเกิร์ตออร์แกนิกเป็นผลิตภัณฑ์จากนมที่อุดมไปด้วยโปรตีน แคลเซียม และโปรไบโอติก แนะนำ 5 ผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค นมออร์แกนิค…